ยุติธรรมแค่ลมปาก!‘ปชป.’อัดเลือกปฏิบัติพักโทษ‘ทักษิณ’ จ่อเสนอแก้‘พ.ร.บ.ราชทัณฑ์’สกัดมีซ้ำรอย‘นักโทษเทวดา’ ชี้ประชาชนรู้ดีปรากฏการณ์‘นายกฯ 2 คน’อนาคตจะให้คำตอบ
19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักโทษ ว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เราได้แสดงจุดยืนเรื่องนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยย้ำว่ากรณีของนายทักษิณแสดงให้เห็นว่าคุกมีไว้ขังคนจน เพื่อที่จะชี้ให้ประชาชนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในส่วนของราชทัณฑ์ ในส่วนของการบังโทษในเรื่องของโทษของผู้ที่กระทำความผิดตามกฎหมาย ไร้ประสิทธิภาพ ต้องยอมรับว่าขณะนี้มีการดำเนินการในหลายเรื่องที่ไม่ตรงไปตรงมา ไม่เป็นไปตามหลักนิติกรรม ก็ต้องบอกว่าหลักกระบวนการยุติธรรมต้องเป็นที่พึ่งที่หวังให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่กรณีนายทักษิณ
ทั้งนี้ ต้องถามไปยังรัฐบาล กรณีที่เคยแถลงต่อนโยบายต่อรัฐสภา นายกรัฐมนตรีพูดชัดว่า การบริหารราชการแผ่นดินจะยึดหลักนิติธรรม คือการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่ได้ตระหนักถึงหลักนิติกรรมที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเลย ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ เป็นความลับทั้งหมด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไม่สามารถตอบคำถามใดๆได้เลยเกี่ยวกับนายทักษิณ ทุกอย่างเป็นความลับหมด มีการช่วยปกปิดความจริงอย่างเป็นระบบ หลักนิติธรรมถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี
นายราเมศ ระบุว่า ตนต้องกล่าวหาเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะประชาชนติดตามเรื่องนี้ทุกย่างก้าวของปลายทางกระบวนการยุติธรรม คือ อำนาจตุลาการถูกท้าทายจาก อำนาจราชทัณฑ์ซึ่งเป็นปลายทางของกระบวนการยุติธรรม ประชาชนรู้ทันในการกระทำของรัฐบาล รู้ทันในการวางแผนกรณีของนายทักษิณ เข้าเกณฑ์การพักโทษ เพราะว่ามีนักโทษอีกหลายคนที่ได้รับสิทธิ์ในการพักโทษ
“แต่กรณีของนายทักษิณไม่ได้ติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว นี่คือสิ่งที่สังคมตั้งคำถามป่วยจริงหรือไม่ รักษาตัวอยู่จริงหรือไม่ประชาชนรู้ทันหมดครับ ทุกคนในระบบทักษิณ ถวิลหาความยุติธรรมที่เท่าเทียม บอกว่าต้องการที่จะไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ แต่นั่นเป็นแค่ลมปากของรัฐบาล เป็นแค่ลมปากของผู้ที่มีอำนาจ ไม่ใช่คำพูดที่เกิดจากสามัญสำนึกของตัวผู้มีอำนาจที่แท้จริง ผมกล่าวหาว่านี่คือการเลือกปฏิบัติ การใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน นักโทษที่อยู่ในเรือนจำเป็นประชาชนเหมือนกัน เป็นประชาชนที่มีกฎหมายมีระเบียบมีข้อบังคับ ฉะนั้นแล้วทุกคนจะต้องถูกบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน สองมาตรฐานไร้ความเท่าเทียม มิหนำซ้ำเหยียบย่ำอำนาจศาล” นายราเมศ กล่าว
นายราเมศ กล่าวต่อว่า ที่ออกมาท้วงติงเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมในส่วนของอำนาจราชทัณฑ์อยู่ในหลักเกณฑ์หลักการของประเทศ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองเดินต่อไปไม่ได้ ไม่ต้องวิเคราะห์เลยว่า กรณีของนายทักษิณจะทำให้รัฐบาลอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้ตนว่าการกระทำทั้งหมดจะเป็นคำตอบในอนาคต และในกรณีนี้พรรคจะทีการเก็บข้อมูล ส่วนไหนที่ไม่เป็นไปตามหลักการในฐานะที่เราเป็นนักการเมืองและเป็นฝ่ายค้าน เราจะตามติดเรื่องนี้เหมือนที่ได้กระทำมาก่อนหน้า ซึ่งรัฐบาลที่ไร้ซึ่งหลักนิติธรรม ถ้ากระบวนการยุติธรรมในขั้นตอนของบังคับโทษเป็นเช่นนี้ ตนถามหน่อยว่า แล้วหลักการบ้านเมืองจะเหลืออะไร ประชาชนจะพึ่งหวังกระบวนการต่อจากนี้ไปได้อย่างไร และประชาชนติดใจหลักการกรณีรี้ว่ามีการจำคุกจริงๆหรือไม่
นายราเมศ กล่าวอีกว่า ในส่วนของประชาธิปัตย์มีเราได้มีการเสนอร่างกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ผ่านมา และกฎหมายฉบับนี้ตนในฐานะกรรมการบริหารพรรค จะเสนอต่อที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้หยิบยกร่างพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้มีการแก้พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ในอำนาจของราชทัณฑ์ในบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เป็นไปตามหลักการกระบวนการยุติธรรมความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง
นายราเมศ กล่าวว่า สาระสำคัญของ ร่างฯ ฉบับนี้ ได้มองเห็นถึงปัญหาของการบังคับโทษในส่วนของกรมราชทัณฑ์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคณะกรรมการอิสระเพื่อพิจารณาประโยชน์ของผู้ต้องขัง เนื่องจากเมื่อศาลตัดสินไปแล้ว แต่ศาลไม่มีอำนาจในการพิเคราะห์พิจารณาว่าจะให้มีการลดโทษ หรือพักโทษ กับนักโทษคดีนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าวควรจะมีโครงสร้างที่มีตัวแทนจาก ผู้พิพากษาในศาลฎีกา ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
“เราถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการป้องกันการใช้อำนาจโดยอำเภอใจโดยองค์กรบางองค์กร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากรณีเดียวกับที่เกิดขึ้นกับคุณทักษิณ จำคุกจริง-ไม่จริง ป่วยจริง-ไม่จริง รักษาอยู่ที่โรงพยาบาล จริง-ไม่จริง ทุกอย่างเป็นความลับหมด” นายราเมศ กล่าว
นายราเมศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการแก้ไข พ.ร.บ. ดังกล่าวนั้น ก็เพื่อให้คงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ นิติธรรม ปลายทางของกระบวนการยุติธรรม และการใช้อำนาจของกรมราชทัณฑ์อย่างแท้จริง ซึ่งพรรคการเมืองก็ต้องมีวุฒิภาวะในการตรวจสอบ และดำเนินการให้บ้านเมืองมีกฎเกณฑ์ มีกติกาภายใต้ระบบนิติรัฐ ฉะนั้นความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากถูกด้อยค่าให้ลดน้อยถอยลงจากองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ก็แสดงว่ากำลังเกิดอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายแล้ว
“ไม่มีใครสามารถอ้างได้ว่าเป็นโรคเช่นเดียวกับคุณทักษิณ ต่อไปอาจจะมีคนอ้างในระหว่างที่ถูกคุมขังได้ว่า ผมเป็นโรคคุณทักษิณ เมื่อเป็นโรคคุณทักษิณก็สามารถไปรักษาที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมีใครรู้ ไม่ต้องมีใครทราบว่าจะรักษายังไง ผมไม่อยากให้เกิดทักษิณโมเดลในปลายทางของกระบวนการยุติธรรม” นายราเมศ กล่าว
เมื่อถามว่า มองทิศทางการเมืองหลังจากนี้ยังไงบ้าง เพราะว่านายทักษิณได้รับการพักโทษแล้ว นายราเมศ ระบุว่า ตนมองว่ารัฐบาลนี้ที่การสอดคล้องเชื่อมโยงอยู่แล้ว เหตุผลของรัฐบาลจะไปปรึกษานายทักษิณ หรือใครจะไปดำเนินการอย่างไรตนคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่รัฐบาลต้องตระหนักว่าสิ่งที่ได้ประกาศกับประชาชน สิ่งที่รัฐบาลต้องบริหารราชการแผ่นดินอยู่บนพื้นฐานหลักนิติรัฐหลักนิติธรรม นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องยึดหลักการนี้ให้มากที่สุด
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้องสังเกตว่าอาจจะมีนายกฯ 2 คน นายราเมศ ระบุว่า โดยหลักรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้วนายกฯมีคนเดียว แต่ความเชื่อมโยงผูกพันกัน หรือใครสามารถที่จะสั่งการให้นายกฯซ้ายหันขวาหันได้ ตนคิดว่าประชาชนทราบดีว่าใครคิดและใครเป็นคนทำ สิ่งนี้ในอนาคตจะเป็นคำตอบทั้งหมดว่าเรามีนายกฯกี่คน
ส่วนกรณีที่จะมีการยื่นกฎหมายแก้ปัญหาช่องโหว่ของกรมราชทัณฑ์จะต่อเนื่องถึงกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะกลับเข้าประเทศหรือไม่ นายราเมศ กล่าวว่า ตนไม่ได้คิดว่าในอนาคตจะเกิดขึ้นกับใคร แต่ถ้าเกิดว่าสิ่งหนึ่งที่เราตระหนักและคิดอยู่เสมอ เราจะสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นเป็นหลักการของบ้านเมืองเพราะฉะนั้นแล้วการที่จะแก้ไขพระราชบัญญัติราชทัณฑ์เพื่อให้คงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐนิติธรรมปลายทางของกระบวนการยุติธรรม การใช้อำนาจของกราราชทัณฑ์อย่างแท้จริง
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี