"นพดล"สรุปบทเรียน 3 ปี"ศชอ." เตือน"นักเลงคีย์บอร์ด"ทุกฝ่าย แสดงความเห็นอย่างมีสติ ลดเสี่ยง"หมิ่นประมาท"
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 นายนพดล พรหมภาสิต เลขาธิการศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) กล่าวในรายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” เล่าย้อนการเกิดขึ้นและการยุติบทบาทของ ศชอ. ว่า ในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองคุกรุ่น มีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการจัดม็อบบนท้องถนนพร้อมกับมีปรากฏการณ์ทัวร์ลงบนโลกออนไลน์ จึงรวมตัวกับเพื่อนตั้งกลุม ศชอ. ขึ้นมา เพื่อต่อสู้ทางกฎหมาย ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบถูกทัวร์ลง ซึ่งก็ได้ผลอย่างที่เห็น แกนนำฝ่ายนั้นโดนคดีไปตามๆ กัน
ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การที่ ศชอ. เที่ยวไล่แจ้งความประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั่นคือ ศชอ. กำลังทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ได้รับความเสียหาย ตนขอชี้แจงว่า หากไม่เข้าองค์ประกอบก็ไม่สามารถถือเป็นความผิดได้ อย่างการอยู่เฉยๆ หรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างสุจริตชนในเชิงวิชาการ แบบนี้ตนจะไปทำอะไรได้ แต่ที่เห็นนั้นไม่ใช่ ส่วนคำถามว่ามีใครอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนหรือไม่ ก็มีมวลชนในโลกออนไลน์ ส่วนเงินทุนที่ใช้ในการเคลื่อนไหวมาจากการบริจาคของผู้ที่เห็นดีเห็นงาม แต่ก็ไม่เยอะ เพียงหลักแสนเท่านั้น ไม่เหมือนอีกฝ่ายที่ได้กันเป็นหลักล้าน
“สลิ่มช่วยก็จริง แต่ไม่มีท่อน้ำเลี้ยง หน่วยงาน NGO องค์กรต่างชาติ หรือพรรคการเมืองที่จะDump (ถม) เงินเข้ามา ฉะนั้นเวลาเปิดระดมทุน ของเราคือเงินบริสุทธิ์ 100 บาท 5 บาท 10 บาท ของมวลชน เป็นเงินที่ประชาชนจริงๆ ช่วยกันมันจึงน้อย กับฝั่งนี้ที่เหมือนมีองค์กรช่วย” นายนพดล กล่าว
นายนพดล กล่าวต่อไปว่า ศชอ. ปิดตัวลงไปเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2566 ซึ่งก็ใกล้กับวันครบรอบ 3 ปีของการก่อตั้งพอดี คือวันที่ 3 ก.ย. 2563 สาเหตุที่ปิดเพราะดูสถานการณ์บ้านเมือง ม็อบก็ไม่มีแล้ว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศมานานตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทย มวลชนกลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ที่เคยขัดแย้งกันก็เริ่มสมานฉันท์ เมื่อเห็นแบบนี้ ศชอ. จึงเริ่มลดบทบาทลง แต่ยังมีกลุ่ม ศปปส. ที่ยังนำเคลื่อนไหวอยู่
อย่างไรก็ตาม ตนก็ยังได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่สื่อสำนักใหญ่แห่งหนึ่งฟ้องประชาชน 4 คน ซึ่งคดีนี้ดูแล้วน่าสนใจ โดยตนมองว่า 1.องค์กรใหญ่ระดับนั้นไม่ควรที่จะมาไล่บี้กับประชาชนตัวเล็กๆ ที่เทียบแล้วก็เหมือนกับเป็นเพียงมดปลวก ไม่ใช่คู่ต่อสู้เมื่อเทียบกับบุคคลหรือองค์กรระดับบิ๊กเนม 2.การทำหน้าที่สื่อมวลชนย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่กรณีที่เป็นเรื่องขึ้นมา คือพิธีกรรายการข่าวสวมเสื้อที่ถูกมองว่าเป็นสีดำ ท่ามกลางกระแสสังคมที่กำลังสวมเสื้อสีม่วง จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องกาลเทศะ
ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่า สำนักข่าวดังกล่าวมาชี้แจงภายหลังที่ไปแจ้งความคนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าพิธีกรไม่ได้ใส่เสื้อสีดำ แทนที่จะชี้แจงตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หากทำแบบนั้นกระแสความไม่พอใจก็จะลดลง แต่ที่ปล่อยทิ้งระยะไว้หมายความว่าอย่างไร กำลังเก็บรายชื่อบุคคลเพื่อดุว่าจะฟ้องใครบ้างอย่างนั้นหรือ ซึ่งการทำแบบนี้ตนไม่เห็นด้วย และคนก็มองว่าสื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้หรือ อีกทั้งเมื่อนำเรื่องที่จะฟ้องไปเสนอเป็นข่าว ก็กลายเป็นยิ่งสร้างความขัดแย้งหนักขึ้น ส่วนพวกที่คิดร้ายกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นผสมโรงด้วย
“มีอยู่คนหนึ่งบอกว่า ‘พี่..ผมต้องโดนแน่ๆ ผมมั่นใจว่าผมโดน’ ก็บอกว่าใจเย็นๆ มันอาจจะไม่ใช่คุณก็ได้ แล้วถ้าคุณได้จริงๆ คุณค่อยมาติดต่อ เราพร้อม ผมให้เบอร์ไปหมดแล้ว เราจะไป สน. กับคุณ พาคุณไปรับทราบข้อกล่าวหา คุณจะปฏิเสธก็ปฏิเสธไป ต่อสู้ในชั้นศาล หลังจากที่อัยการถ้าเขาสั่งฟ้อง อันนี้ในแง่ของที่เขาไปแจ้งความที่โรงพัก แต่ถ้าเขาฟ้องตรงเอง เขาไปแจ้งความเพื่อที่จะหยุดอายุความ 3 เดือน แล้วเขาไปฟ้องตรงนั่นก็อีกเรื่อง ถ้าเขาฟ้องตรงเราก็ต้องแต่งตั้งทนาย เดี๋ยวผมจะหาทนายความไปช่วยคุณตรงนั้น” นายนพดล ระบุ
นายนพดล ยังกล่าวอีกว่า ตนยอมรับว่าไม่รู้ว่าข้อความซึ่งเป็นที่มาของการฟ้องคดีนั้นเป็นอย่างไรเพราะไมได้เห็น ซึ่งก็ต้องไปสู้กัน แต่ในมุมของตน ต้องการว่าหากวันใดที่ตนพาผู้ถูกกล่าวหาไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจ ขอให้ตำรวจผู้รับผิดชอบคดี ติดต่ออีกฝ่ายที่เป็นคู่กรณีที่ได้รับความเสียหาย ให้มาพูดคุยกัน เพราะหากต้องการปกป้องชื่อเสียงของตนเอง ก็ควรจบลงในชั้นไกล่เกลี่ยของพนักงานสอบสวน จะให้ขอโทษหรืออย่างไรก็ว่ากันไป แต่หากไม่จบโดยต้องการให้คดีไปถึงชั้นศาลเพื่อให้มีคำตัดสิน ตนก็มีคำถามว่าอีกฝ่ายต้องการค้าความหรือไม่
หรือหากอัยการสั่งฟ้อง คดีไปถึงศาล ศาลก็จะมีศูนย์ไกล่เกลี่ย ก็จะให้ไปไกล่เกลี่ยกัน ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์อาจยอมรับว่าวิพากษ์วิจารณ์แรงเกินไป ผิดครบองค์ประกอบของกฎหมาย ตกลงกันได้หรือไม่เพราะเป็นคดีอาญาที่ยอมความได้ จะขอโทษกี่วันอะไรก็ว่าไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจบที่กระบวนการไกล่เกลี่ยไม่ว่าชั้นพนักงานสอบสวนหรือชั้นศาล ไม่ควรไปฟ้องอาญา ไม่พอหากชนะอาญาแล้วยังจะไปฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายเอาให้หมดตัวอีก ตนไม่อยากให้ไปถึงขั้นนั้น เพราะในเมื่ออีกฝ่ายยอมรับแล้วว่าทำผิดก็น่าจะพอแล้ว ไปเรียกค่าเสียหายเขาเป็นชาวบ้านจะเอาอะไรไปจ่าย
แต่หากจะบอกว่าจะเป็นใครก็ไม่สิทธิ์หมิ่นประมาท ตนก็ต้องถามว่าแล้วเหตุใดวันนั้นคนจำนวนมากถึงคิดตรงกัน เรื่องที่เห็นว่าสวมเสื้อสีดำ หรือจะบอกว่าน้ำเงินเทาแต่ก็ยังดูเป็นโทนสีดำ ซึ่งหากใส่สีอื่น จะสีแดง สีชมพู สีฟ้า ก็คงไม่มีใครว่าอะไร ดังนั้นแม้จะมีสิทธิ์เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเองแต่ก็ไม่ควรจะไปถึงสุดซอย เป็นสื่อใหญ่ก็ทำเพียงพอหอมปากหอมคอ แต่อีกด้านหนึ่ง คดีนี้ก็ถือเป็นบทเรียนกับประชาชนทั่วไปไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามด้วยเช่นกัน เรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างๆ
ซึ่งคำแนะนำสำหรับการแสดงความคิดเห็นที่จะไม่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท เช่น วิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะตั้งคำถามแทนที่จะด่าแรงๆ แบบโต้งๆ ซึ่งก็จะลดความเสี่ยงในการกระทำผิดได้ นอกจากนั้นก็ต้องระมัดระวังเรื่องชู้สาว-ความสัมพันธ์ลึกซึ้งส่วนตัวของบุคคล เพราะเคยมีคำพิพากษาออกมาเป็นบรรทัดฐานชี้ชัดแล้วว่า เรื่องแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน แม้เป็นเรื่องจริง บุคคลที่ถูกพาดพิงคบชู้กันจริง แต่ก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่สังคมไมได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเรื่องใต้เตียงของคนอื่นเขา อีกเรื่องหนึ่งคือการทวงหนี้ที่มีลักษณะประจาน เพราะทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสีย เมื่อมีการฟ้องคดีขึ้นมาก็มักจะแพ้ จากที่จะได้เงินกลายเป็นเสียเงินไปแทน
“พึงสังวรณ์ไว้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ใช้สติในการที่จะไปคอมเมนต์หรือวิพากษ์วิจารณ์ด่าใคร องค์ประกอบของความผิดนะ คุณนึกไว้อย่างเดียวเลย 1.เจตนาคุณอย่างไร? 2.คุณทำแบบวิญญูชนไหม? มีสติไหม? 3.การวิพากษ์วิจารณ์ของคุณมันก่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมไหม? ถ้ามันครบอย่างนี้ คุณไม่มีเจตนาว่าร้าย เป็นการวิพากษ์โดยสุจริตอย่างวิญญูชน แล้วการวิพากษ์วิจารณ์นั้นไปมีประโยชน์กับสังคม อย่างนี้คุณก็ไม่ผิด” นายนพดล กล่าว
ชมคลิปเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=qcmY1B9GCrw
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี