สภาถกงบดุเดือด
ก้าวไกลรุมถล่มหันงบก.ดีอีเอส
ซัดแก้ปัญหาข่าวปลอมล้มเหลว
สภาถกงบฯปี’67 วันที่ 2 อภิปรายเดือดงบกระทรวงดีอีเอสเห็นชอบปรับ 75 ล้าน เหลือ 5.3 พันล้านบาท “เรืองไกร” ชี้ช่องสตง.ตรวจสอบ หลังพบส่อทุจริตหลายโครงการ “ก้าวไกล”รุมถล่ม“ปกรณ์วุฒิ”ซัด “ศูนย์ต้านข่าวปลอม” ชงหั่นเหี้ยน 69 ล้านเดือดไม่ควรได้แม้แต่บาทเดียว เหตุเป็นเครื่องมือรัฐปกปิดความจริงไร้ประสิทธิภาพ ไม่เป็นกลาง“ณัฐพล”บอกเดชะบุญกรมอุตุฯตัดงบก่อนหลังของบซื้อ“เครื่องวัดฝุ่นพิษ”แต่ไม่รู้ไทยมีแล้ว’ก้าวไกล’จวก’กระทรวงทรัพย์’แก้‘ฝุ่นพิษ’ล้มเหลว ขอหั่นงบ10%กังขางบเบี้ยประชุมสูงลิ่ว2,500-1หมื่นบาทต่อวัน
เมื่อเวลา09.30น.วันที่ 21 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ในวาระที่สอง เรียงตามรายมาตรา จำนวน 41 มาตรา ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นวันที่2โดยมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการที่ประชุม
ถกงบวันที่2 ประเดิมงบก.ดิจิทัล
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาต่อจากการประชุมเมื่อวันที่20 มี.ค.ผ่านไป15มาตรา โดยเริ่มพิจารณา ในมาตรา 16งบประมาณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่กรรมาธิการฯปรับลดงบประมาณเหลือ5,347,054,800บาทจากเดิมที่เสนอมา 5,419,139,300 บาทซึ่งกรรมาธิการเสียงข้างมาก ปรับลดงบประมาณ 72 ล้านบาท
‘เรืองไกร’ชี้ช่องสตง.ตรวจสอบ
โดยนายเรืองไกรอภิปรายว่าตนขอสงวนความเห็นและขออภิปรายเพื่อปรับลดหรือตัดทอนรายจ่ายของกระทรวงดิจิทัลจำนวน5,419,139,300ล้านบาทเศษลง 596.1ล้านบาท รวม13รายการเนื่องจากมีข่าวว่าสตง.ตรวจสอบพบการทุจริตในหลายโครงการของกระทรวงนี้และงบประมาณก็คงออกได้เพียงครึ่งหนึ่งจึงขอให้ดูผลสอบของสตง.ด้วย
อุตุฯขอ19ล้านซื้อเครื่องวัดฝุ่นพิษ
ด้านนายณัฐพล โตวิจักษ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ พรรคก้าวไกลกมธ.เสียงข้างน้อยอภิปรายว่าขอเน้นในส่วนกรมอุตุนิยมวิทยาที่ถนัดเรื่องลมฟ้าอากาศแต่เรื่องราคาในเอกสารอาจไม่แม่นเท่าไรโดยกระทรวงดิจิทัลได้ถูกปรับลดงบลง72ล้านบาท กรมอุตุฯถูกปรับลดลง19ล้านบาทซึ่งเป็นโครงการเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 ที่กรมอุตุฯ ตั้งไว้ว่าเป็นโครงการระบบตรวจวัดชั้นบรรยากาศใกล้ผิวโลกและวัดฝุ่นPM 2.5 เป็นงบผูกพันปีงบประมาณ67-68 รวมมูลค่า 127,223,000บาท แบ่งเป็นงบ 67 จำนวน 19,083,500 บาท งบ 68 จำนวน 108,139,500 บาท ปัญหาฝุ่นPM 2.5 ไม่ได้มีแค่กทม.และภาคเหนือ แพร่ไปทั่วประเทศแล้วโครงการนี้จะจัดซื้อเครื่องLIDAR PDLซึ่งเป็นเครื่องยิงเลเซอร์ตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองในชั้นบรรยากาศเพื่อเก็บสถิติและใช้พยากรณ์ปริมาณฝุ่นPM2.5ในแต่ละวันแต่รายละเอียดเหล่านี้ไม่มีการชี้แจงใดๆจากกรมอุตุฯ
และตนได้ข้อมูลจากเพื่อนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่กระซิบบอกให้จับตาดูโครงการนี้ราคาดูแปลกๆซึ่งการพิจารณาวาระ1ได้สอบถามกรมอุตุฯมี3บริษัทที่เสนอราคามา ยกตัวอย่าง1บริษัทเสนอราคาเครื่อง LIDAR PDL2เครื่องในราคาเครื่องละ18ล้านบาทแต่กรมอุตุฯไม่รู้ว่าประเทศไทยเคยมีเครื่องนี้แล้วในราคาเครื่องละ5ล้านบาทและพังไปแล้วเมื่อมันพังบริษัทซัพพลายเออร์เสนอซ่อมเครื่องละ2ล้านบาทแต่เครื่องดังกล่าวกลับถูกทิ้งไว้เฉยๆ
ย้ำไทยผลิตเองได้เครื่องไม่ถึงล้าน
นายณัฐพล อภิปรายบอีกว่าที่กรมอุตุฯไม่รู้คือนักวิทยาศาสตร์ไทยกำลังผลิตเครื่องนี้ใช้เองในราคาไม่ถึง1ล้านบาท สุดท้ายไม่รู้อะไรดลใจกรมอุตุฯให้ตัดงบในโครงการนี้ 19ล้านบาททิ้งไป ซึ่งตนเห็นด้วยเพราะชี้แจงไม่ชัดเจน ราคาเสนอมาแพงเกินจริงไม่รู้ว่าคนไทยผลิตใช้เองได้ -vฝากไว้ทั้งกรมอุตุฯและกรมที่ข้องเกี่ยวกับPM 2.5 หากจะตั้งงบซื้อเครื่อง LIDAR PDL ในอนาคตขอให้ทราบว่าสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ สามารถผลิตใช้ได้เองแล้ว ต้นทุนไม่ถึง 1ล้านบาทและมาพร้อมกับโมเดลการวิเคราะห์เก็บข้อมูลต่างที่นักวิจัยไทยเขียนไว้ทั้งหมดซึ่งมีความเหมาะสมที่จะใช้ในประเทศไทย
ก้าวไกลรุมชำแหละตัดงบดิจิทัล
น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม.พรรคก้าวไกล อภิปรายในส่วนงบกระทรวงดิจิทัลฯว่าการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์จะมีสายด่วน1441ที่เอาไว้แจ้งมิจฉาชีพ แต่ก็มีสายด่วนของหน่วยงานอื่นเช่น1599 เรามีสายด่วนเยอะมาก แต่ประชาชนจำไม่ได้ ยังพบปัญหามิจฉาชีพ เข้ามาร้องเรียนมิจฉาชีพ ทำให้ประชาชนงงว่า หากร้องเรียนไปแล้วจะเป็นตำรวจจริงหรือไม่ ตอนนี้ตำรวจทำงาน ไม่ทันมิจฉาชีพ ไลน์แอดที่ยิงไป 4-6 อัน มิจฉาชีพหมดเลย สรุปอันไหนจริงกันแน่ พอไปถาม เจ้าหน้าที่ก็โยนงานข้ามกันไปมาว่า สายด่วนไหนจริง สายด่วนไหนปลอม
นอกจากนี้ น.ส.ศศินันท์ ได้เปิดคลิปพีอาร์ของกระทรวงดีอีเอสที่รณรงค์ให้ประชาชนรู้ทันมิจฉาชีพ ในหัวข้อ“มงคลมาโอนเงินให้เปี๊ยกหน่อย” ตนขอเสนอปรับลดงบเนื่องจากอยากให้กระทรวงดีอีเอส ทำงานที่ควรจะทำ มองว่าหากมัดรวมงบแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ได้ จะประหยัดงบไปได้เยอะ
ตัดงบศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม69ล้าน
ต่อมา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลอภิปรายขอสงวนคำแปรญัตติในมาตรา 16 งบประมาณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในส่วนของโครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมหรือ“ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม”โดยขอตัดงบประมาณทั้งโครงการจำนวน69.57ล้านบาท จากผลการดำเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในเดือนกันยายน2566ที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของศูนย์ฯซึ่งเป็นช่วงที่ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมคนใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้รับข้อมูลสำหรับการตรวจสอบทั้งหมด5.47ล้านข้อความ ส่วนใหญ่ได้มาจากการใช้เครื่องมือกวาดข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตและมีบางส่วนได้มาจากการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ฯ เช่นเฟซบุ๊กและไลน์
จาก 5.47 ล้านข้อความ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้คัดกรองจนเหลือจำนวนเรื่องที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบทั้งสิ้น 539 เรื่อง จากนั้นจึงส่งเรื่องไปยังหน่วยงานราชการต่าง ๆที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งสุดท้ายได้รับการตรวจสอบกลับมา 356 เรื่อง แต่สามารถ “เผยแพร่ได้”เพียง 235 เรื่องเท่านั้น โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแบ่งข้อมูลที่ตรวจสอบได้แต่ไม่ได้เผยแพร่ออกเป็น3 กลุ่ม คือ 1.หน่วยงานไม่สามารถชี้แจงได้ 2. หน่วยงานปฏิเสธการตอบกลับ และ 3.หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่
หลายกรณีข่าวจริงแต่ไม่เผยแพร่
นายปกรณ์วุฒิอภิปรายว่าตนสงสัยมาตลอด4ปีว่าทำไมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมถึงเลือกที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานราชการเท่านั้น ทั้งที่บางเรื่องก็เป็นข้อมูลที่หาได้ทั่วไปแต่ก็สิ้นสงสัยหลังจากได้ดูเนื้อหากลุ่มที่3คือข่าวที่หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่ตามหลักสากล หลักการที่สำคัญที่สุดขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงก็คือความเป็นกลางและความเป็นอิสระ ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็ย้ำมาตลอดว่าตัวเองตรวจสอบอย่างเป็นกลางและเป็นอิสระแต่เมื่อลองมาดูตัวอย่างข่าวที่หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่สักสองตัวอย่าง ก็จะเห็นว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไม่ได้มีความเป็นอิสระจริง แต่เป็นเพียงเครื่องมือของรัฐบาลเท่านั้นตัวอย่างแรก จากข่าวที่ปรากฏออกมาว่าครม.อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2567 ก่อหนี้ใหม่ 1.94 แสนล้านบาทจริงหรือไม่ เมื่อศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมตรวจสอบไปที่กรมประชาสัมพันธ์กลับได้รับคำชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข่าวจริง แต่ไม่ประสงค์เผยแพร่เพราะไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล ตัวอย่างถัดไป จากข่าวที่ว่าทำเนียบรัฐบาลใช้งบประมาณในการจัดซื้อยางรถยนต์ 8 เส้น ราคา 3.4 ล้านบาท กรมประชาสัมพันธ์ก็บอกว่าข้อมูลดังกล่าวเป็น ข่าวจริง แต่ไม่ประสงค์เผยแพร่เพราะ ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลอีกเช่นกัน
ลั่นไม่ควรได้งบแม้แต่บาทเดียว
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่าสิ่งนี้ทำให้ตนหายสงสัย ว่าทำไมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมถึงตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการเท่านั้น เพราะตลอดเวลาตั้งแต่ตั้งศูนย์แห่งนี้ขึ้นมา การส่งเรื่องไปให้หน่วยงานราชการไม่ใช่การขอให้ตรวจสอบ แต่มันคือการขออนุญาตว่าหน่วยงานราชการจะยอมให้เผยแพร่หรือไม่ หน่วยงานว่าอย่างไรศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็มีหน้าที่แค่ทำไปตามนั้น
“นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าตลอด4ปี5เดือนตั้งแต่ก่อตั้งมา ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไม่เคยมีความเป็นกลาง ไม่เคยมีความเป็นอิสระ เป็นแค่เครื่องมือของรัฐในการผูกขาดความจริงแบบที่รัฐอยากให้ประชาชนรู้ และปกปิดความจริงที่รัฐไม่อยากให้ประชาชนเห็นเท่านั้น และผมยืนยันว่าโครงการแบบนี้ไม่ควรได้รับงบประมาณจากภาษีประชาชนแม้แต่บาทเดียว”นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
มติสภาเห็นชอบปรับลดงบ75ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากส.ส.และกมธ.ที่ได้สงวนคำแปรญัตติไว้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ในที่สุดที่ประชุมลงมติเห็นด้วยให้ปรับลดงบประมาณกระทรวงดีอีเอส72 ล้านบาท ตามกรรมาธิการงบประมาณฯเสียงข้างมาก
ชงหั่นงบก.ทรัพย์ฯกังขาเบี้ยประชุม
มาตรา 17 งบประมาณกระทวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 15,025,964,400 บาท โดยนายกฤษฐ์หิรัญ เลิศอุฤทธิ์ภักดี สส.นครสวรรค์ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ในฐานะอนุกรรมาธิการฯ ตนมีข้อสงสัย2หน่วยงานในกระทรวงทรัพยากรฯคือสำนักนโยบายแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.)ซึ่งได้รับงบ1,002.5 ล้านบาท เป็นงบดำเนินการ 152 ล้านบาท งบลงทุน 45 ล้านบาท งบอุดหนุน 760 ล้านบาท งบรายจ่าย 43 ล้านบาท โดยตั้งข้อสังเกตงบประมาณ 24.61ล้านบาท ซึ่งเป็นงบเบี้ยประชุมกรรมการ อนุกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม คณะกรรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นต้น เนื่องจากในรายงานไม่มีรายละเอียดจำนวนครั้งในการประชุมจึงเข้าไปดูในรายงานประจำปีของหน่วยงานนี้ในปี65พบว่ามีการประชุมเพื่อพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) 725 ครั้งและมีการประชุมรวม230ครั้ง หมายความว่าใช้งบประมาณเฉลี่ยในการประชุมครั้งละ1แสนบาท/ครั้ง/วัน ตนถามผู้ที่มาชี้แจงได้ทราบว่ามีค่าเบี้ยประชุมสูงถึง 2,500-1หมื่นบาท/คน/วัน ซึ่งในอนุกรรมการฯที่เราประชุมกันเบี้ยประชุมเพียง800บาท/คน/วัน คิดว่าน่าจะประหยัดงบนี้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์หากใช้งบอย่างเหมาะสมในการประชุม ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงสุดที่กำหนดไว้
ซัดโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์แพง
อีกหน่วยงานคือสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ หน่วยงานนี้ได้รับงบประมาณ 1,682ล้านบาท เป็นงบดำเนินงาน 133ล้านบาท งบลงทุน 592 ล้านบาท มีการปรับลดชั้นกรรมาธิการฯเพียง1ล้านบาทซึ่งเป็นงบระบบคอมพิวเตอร์ แต่มีโครงการหนึ่งซึ่งเป็นงบผูกพันปี 66-70ใช้ชื่อแผนอย่างสวยหรูว่าแผนงานพื้นฐานด้านการจัดการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเฉลิมพระเกียรติอันเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
จากการชี้แจงอนุกรรมาธิการฯแบ่งเป็น2โครงการในเฟสแรก เป็นงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ 1,230 ล้านบาท และเป็นงานก่อสร้างเฉพาะอาคาร ค่าควบคุมงานก่อสร้าง 21 ล้านบาท ตนเห็นชื่อโครงการนี้จากข่าวเมื่อเดือน มิ.ย. 66ว่ามีมูลค่าการก่อสร้าง 2,000ล้านบาท ในพื้นที่ 2,550ตร.ม.ตนประเมินเบื้องต้นอยู่ที่ ตร.ม.ละ8.1หมื่นบาท แพงแค่ไหนนั้นตนเปรียบเทียบกับโครงการที่ใกล้เคียงกัน เป็นอาคารห้างสรรพสินค้าที่มีค่าก่อสร้าง 2.1หมื่นบาท/ตร.ม.ถือว่าแพงมากกว่าการก่อสร้างอาคารทั่วไปถึง 4เท่า ซึ่งน่าจะปรับลดได้มากกว่านี้หากมีการจัดซื้อจัดจ้างที่เหมาะสม
ยืนยันขอหั่นงบก.ทรัพยากรฯ10%
โครงการนี้อนุมัติตั้งแต่ปี 2557 ตั้งแต่หลังการรัฐประหารใหม่ๆ รัฐบาล คสช. ได้อนุมัติโครงการนี้และมีมติ ครม.4ม.ค. 65 ให้กระทรวงทรัพยากรฯ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการจากนั้นครม.อนุมัติงบ 4,055 ล้านบาท เพื่อดำเนินการก่อสร้าง เป็นงบผูกผันปี 66-70 ตนมีความสงสัยว่าการประมูลก่อสร้างครั้งนี้โปร่งใสหรือไม่ เนื่องจากพบผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารรายนี้รับงานก่อสร้างจากหน่วยงานรัฐจำนวนมากกว่า 1,529โครงการ หรือ 1,460 ล้านบาทใน 7ปี แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอาจจะเป็นเพราะความสามารถของผู้บริหารโครงการ แต่ข้อมูลที่เราได้รับเพิ่มเติมเฉพาะในกทม.มี 181โครงการ จากทั้งหมด 888 โครงการที่บริษัทนี้ได้รับไป สังเกตว่ามีความปกติกว่า1ใน 5จึงฝากไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย อีกทั้งพบว่าบริษัทนี้ไม่ได้ซื้อซองเข้าเสนองาน แต่ได้งานในช่วงปี 62-63 จำนวนมาก ดังนั้นตนจึงขอให้ทบทวนปรับค่าก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้ไม้มีค่าฯนี้ที่จะมีในเฟซที่2เพราะเราไม่สามารถปรับลดในเฟซแรกได้ เฟสที่สองในเรื่องของการตกแต่งภายในอยากให้ใช้งบประมาณที่เหมาะสมมากกว่านี้ สุดท้ายขอยืนยันให้ปรับลดงบ67มาตรา 17ในส่วนกระทรวงทรัพยากรฯทั้งหมด10 เปอร์เซ็นต์ของโครงการ
จวกก.ทรัพย์ฯแก้ฝุ่นพิษล้มเหลว
นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ที่กระทรวงทรัพยากรฯไม่ให้ความสำคัญ ทำให้ปัญหามีความรุนแรงขึ้น รวมถึงการเกลี่ยงบประมาณภายในหน่วยงานที่ไม่เป็นธรรม ไม่ให้งบประมาณอย่างเพียงพอกับหน่วยงานที่มีหน้าที่แก้ปัญหาภัยแล้งว่า งบกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ถูกปรับลดลงเหลือ 870ล้านบาท ถูกตัดทิ้ง ทั้งที่ประเทศมีวิกฤติเรื่องน้ำ แต่กลับไม่ติดอาวุธให้หน่วยงาน ขณะที่งบกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมมีความทับซ้อนกับกรมควบคุมมลพิษ มีแต่งบงานอีเวนต์เป็นตัวตั้ง ที่ไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ควรเน้นเป้าหมายเรื่องการบรรลุยุทธศาสตร์ในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ชัดเจน
แนะปรับเพิ่มงบให้กรมป่าไม้
ขณะที่นายจักรวาล ชัยวิรัตน์กูล สส.สุโขทัย พรรคเพื่อไทยอภิปรายว่ากระทรวงทรัพยากรฯเกลี่ยงบไม่สมดุล กรมอุทยานแห่งชาติฯได้งบ5,600ล้านบาททั้งที่มีรายได้จากการเก็บค่าเข้าอุทยานมากอยู่แล้วมีรายได้ต่อปี 1,000ล้านบาท แต่กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ที่มีส่วนสำคัญแก้ปัญหาภัยแล้ง กลับได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ อย่างกรมป่าไม้ มีอุปกรณ์ดับไฟป่าแค่ไม้กวาด เครื่องเป่าลม ควรได้รับงบเพิ่มเพื่อไปซื้ออุปกรณ์ดับไฟป่าที่ทันสมัย
ชี้แก้ฝุ่นพิษเป็นเรื่องส่วนรวม
ส่วนนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทยในฐานะกมธ.งบประมาณฯชี้แจงว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาฝุ่นPM2.5แก้ไขปัญหาอยู่ตลอดเวลา แต่เรื่องฝุ่นPM2.5เป็นเรื่องส่วนรวมประชาชนต้องให้ความร่วมมือ ถ้าให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงฯเพียงอย่างเดียว การแก้ปัญหาจะใช้เวลานาน
ทั้งนี้ หลังจากสส.และผู้สงวนคำแปรญัตติอภิปรายในมาตรา 17ครบถ้วน แล้วที่ประชุมลงมติเห็นชอบมาตราดังกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี