นายกฯจ่อคุย‘พีระพันธุ์’หาคนแทน
‘กฤษฎา’พ้นเก้าอ
ครม.จัดทัวร์นกขมิ้น4จว.
ประเดิมลงตรวจสุพรรณฯ
ภท.ชี้พรรคร่วมไม่ขัดแย้ง
กัญชากลับบัญชียาเสพติด
นายกฯคอนเฟิร์ม “กฤษฎา” พ้นตำแหน่งแล้ว รอคุยรทสช.ที่เพชรบุรี “อนุทิน” แจงไม่มีขัดแย้งพรรคร่วมรัฐบาล ดึงกัญชากลับเป็นยาเสพติด ชี้นายกฯพูดไม่ผิด เพราะทุกฝ่ายต้องทำเพื่อปชช. คุย “สมศักดิ์” อาจต้องรื้อรายงานประชุมเดิม เหตุเคยลงมติหนุนปลดล็อก ยันถ้าเปลี่ยนต้องนึกถึงทุกฝ่าย “ธนกร”ยัน “รทสช.” แน่นปึ้กเดินหน้าทำงานเต็มที่ทั้งสภาและรัฐบาล จัดสัมมนาสส.12พ.ค.มั่นใจสมาชิกทุกคนรู้หน้าที่ ยึดประโยชน์ ประเทศชาติและปชช.เป็นหลัก
เมื่อวันที่ 10พฤษภาคม2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลังของ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ตอนนี้ถือว่า หลุดจากรัฐมนตรีแล้วหรือยัง ว่า ถือว่ามีผลเรียบร้อยแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า จะตั้งเข้ามาใหม่ หรือจะรอหารือกับพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ให้เสนอมาก่อน นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับพรรค รทสช.แต่เชื่อว่าที่ จ.เพชรบุรี ที่จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จะมีการพูดคุยกัน ขอให้เกิดขึ้นก่อนแล้วกัน
แจงลงพื้นที่4บุรียึดประชาชนเป็นที่ตั้ง
นายเศรษฐา ยังให้สัมภาษณ์ก่อนลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรีและจ.เพชรบุรี ระหว่างวันที่ 10-14พฤษภาคม2567 ซึ่งเป็นพื้นที่ของพรรคร่วมรัฐบาล ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์หรือไม่ ว่า ตนเอาประชาชนเป็นที่ตั้งก่อน เป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้วที่จะไปทุกภาคส่วน ส่วนตัวแม้จะเป็นนายกฯที่มาจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ก็ตาม แต่ก็ลงพื้นที่ที่มีทั้ง สส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคเพื่อไทย โดยต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาลงพื้นที่ภาคใต้ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) แต่หลักการคือ ดูแลพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ฉะนั้นการลงพื้นที่สี่บุรีครั้งนี้ไปดูแลประชาชนว่า ตรงไหนช่วยอะไรได้บ้าง ส่วนเรื่องกระชับความสัมพันธ์ แน่นอนว่าเราอยู่ร่วมกันหลายพรรค การให้เกียรติซึ่งกันและกันเป็นเรื่องสำคัญ
ถึงสุพรรณฯไหว้พ่อโตวัดป่าเลไลยก์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สุพรรณบุรีโดยนายกฯเดินทางมายังวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี มีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมเดินทางด้วย โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมมั่นคงของมนุษย์ หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผวจ.สุพรรณบุรี พร้อมทั้งสส.พรรคชาติไทยพัฒนา มารอต้อนรับ อาทินายสรชัด สุจิตต์ สส. สุพรรณบุรี นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ สส. สุพรรณบุรี นายนพดล มาตรศรี สส. สุพรรณบุรี ขาดเพียงนายเสมอกัน เที่ยงธรรม ที่ติดภารกิจต่างประเทศ ทันทีที่มาถึง นายกฯ สักการะหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณมาแต่โบราณกาล พร้อมถวายพวงมาลัย และผ้าห่มหลวงพ่อโต ก่อนที่จะกราบนมัสการพระธรรมพุทธิมงคล หรือหลวงพ่อสะอิ้ง ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี โดยนายกฯได้ถวายผ้าไตรพร้อมเครื่องไทยธรรมโดยเจ้าอาสาสได้มอบ หลวงพ่อโตจำลอง วัดป่าเลไลยก์ ปางราหู รุ่นบูรณวิหาร 2565 ขนาด หน้าตัก 3 นิ้ว เนื้อทองเหลือง เหรียญหลวงพ่อโตรุ่น เนื้อทองแดง รุ่นฉลองสมโภชพระอาราม 100 ปี วัดป่าเลไลย์ สร้างปี2562 เป็นที่ระลึก
หลวงพ่ออวยพรให้โตไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งระหว่างการสนทนาธรรมกับ พระธรรมพุทธิมงคล หรือหลวงพ่อสะอิ้ง ได้สอบถามนายกฯว่าสบายดีไหม นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบว่า“ครับ”จากนั้นได้มอบ หลวงพ่อโตจำลอง พร้อมให้พรกับนายกฯ ว่า ให้โตไปเรื่อยๆ เหมือนชื่อหลวงพ่อโตที่มอบให้ ก่อนที่เจ้าอาวาสเล่าถึงประวัติความเป็นมาของ พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ (หลวงพ่ออู่ทอง) ที่วัดเขาทำเทียม ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งในวันเดียวกันนี้นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางไปสักการะและเยี่ยมชมด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายกฯเดินทางกลับ พระธรรมพุทธิมงคล ได้ให้พรกับนายกฯอีกครั้งว่า”ให้โตไปเรื่อยๆ มีหลวงพ่อโตอยู่กับตัวแล้วก็ขอให้โตยิ่งๆขึ้นไป ร้อนมา เราก็อยู่กับความร้อน เราก็ต้องอยู่กันจนได้ โลกมันมีร้อนมีเย็น ถ้าใจเราเย็นแล้วก็สบาย ทั้งหมดอยู่ที่ใจเรา” ก่อนที่พระธรรมพุทธิมงคลจะจับมือ นายกฯ พร้อมให้พรอีกครั้งว่า “ขอให้โตไปเรื่อยๆนะสาธุ ๆต้องโตไปเรื่อยๆ อย่าเล็กลง”จากนั้นนายกฯ พร้อมคณะ รับประทานอาหารกลางวัน ที่”ร้านแม่บ๊วย”ซึ่งเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดสุพรรณบุรี
‘ธนกร’ยันรทสช.แน่นปึ๊กลุยงานเต็มที่
ด้าน นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวพรรครทสช.เกิดรอยร้าวหนัก จนล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงานและอดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรค โดยยืนยันว่า ความสัมพันธ์ภายในพรรค ยังเป็นหนึ่งเดียวเหนียวแน่น พร้อมเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ โดยการนำของหัวหน้าพรรค นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นแกนนำและเลขาธิการพรรค ซึ่งเข้าใจคนรุ่นใหม่และประสานความร่วมมือของคนทุกรุ่น ให้ทำงานยึดประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนมาก่อนเรื่องส่วนตัว
เมื่อถามว่า ช่วงหลังมีข่าวหนาหูว่า ภายในพรรครทสช.แบ่งเป็นก๊ก เป็นกลุ่มจริงหรือไม่ นายธนกร ระบุว่า เรื่องการพูดคุย หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นเรื่องปกติ ที่จะมีกลุ่มที่สนิทชิดเชื้อกันมานานและทำงานในพื้นที่เดียวกัน แต่ภายในพรรคยืนยันว่า ไม่มีการแบ่งก๊กแบ่งเหล่า แบ่งกลุ่มส่วนที่มีข่าวว่าพรรคแตกนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะในวันที่ 12พ.ค.นี้ พรรคเตรียมจัดสัมมนาสส.ของพรรค เพื่อกำชับการทำงานในพื้นที่ การทำงานในสภา รวมถึงในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลที่ดูแลกระทรวงต่างๆ เพื่อให้พรรครวมไทยสร้างชาติ สามารถเป็นที่พึ่งและแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้
ลั่นไม่มีความขัดแย้งภายในพรรค
“รทสช.เราเดินหน้าทำงานการเมืองอย่างมืออาชีพ ทำทุกบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่สุดความสามารถ ไม่มีขัดแย้งแตกแยกอย่างที่เป็นข่าว มั่นใจว่า สมาชิกและสส.ทุกคน ตั้งไจทำงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าต่อยอดงานจากรัฐบาลชุดที่แล้ว สร้างและพัฒนางานใหม่ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เรายึดมั่น ทำแล้ว ทำอยู่และทำต่อ หวังจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”
เมื่อถามว่า พรรคได้เตรียมสส.ที่จะมาแทนนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อดีตรมช.คลังที่ลาออกไปแล้วหรือไม่นั้น นายธนกร กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคจะพิจารณาตามความเหมาะสม
‘อนุทิน’ย้ำไร้ขัดแย้งปมเรื่องกัญชา
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ทำให้กลุ่มที่สนับสนุนกัญชาออกมาคัดค้าน ทั้งที่สภาและจะไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบด้วยว่า คนกลุ่มนี้พยายามที่จะรักษาผลประโยชน์ให้พวกพ้อง เพราะลงทุนธุรกิจมากพอสมควร ถ้าการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ต้องให้โอกาสพวกเขาชี้แจงข้อมูลไว้ตัดสินใจ เป็นเรื่องปกติ
เมื่อถามว่า จะมีปัญหาหรือไม่ ที่มีกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วย นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องมีกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กลุ่มที่เห็นด้วยกับกัญชา ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีข้อมูล ทำการศึกษาและไปรวมกลุ่มกับประชาชนและหน่วยงานต่างๆ มาร่วมพัฒนากัญชาให้เป็นผลิตภัณฑ์มีมาตรฐาน ถ้าจะเปลี่ยนแปลง ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่าย เมื่อถามว่า จะถึงขั้นสร้างความขัดแย้งหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ความขัดแย้งไม่ควรจะมี นโยบายกัญชาอยู่ในนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เน้นใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในทางปฏิบัติก็อยู่ในกรอบมาตลอด ทุกอย่างต้องมีการควบคุมตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทินรมว.สาธารณสุข แล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างมีขั้นตอน จะเปลี่ยนกัญชากลับเป็นยาเสพติด ต้องผ่านคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดและคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติ เราต้องมีข้อมูลใหม่ๆ
กลับเป็นยาเสพติดต้องให้ก.ก.ลงมติ
“ตอนที่เราปลดกัญชาออกจากยาเสพติด นายสมศักดิ์ กับตน อยู่ในกรรมการชุดนี้ มีมติในที่ประชุมเป็นเอกสาร ไม่ใช่มีมติเสียงข้างมาก-ข้างน้อย ตนได้เรียน นายสมศักดิ์ ว่า คงต้องรื้อรายงานการประชุม และมาดูว่า ทำไมวันนั้นตัวท่านเอง ตนและกรรมการอีกหลายคน ถอดกัญชาออกจากยาเสพติด” นายอนุทิน กล่าว เมื่อถามว่า นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ลักษณะที่ว่า อาจยังมีความเห็นไม่ตรงกัน นายอนุทิน เผยว่า นั่นคือพาดหัวข่าว แต่ในเนื้อข่าวไม่ใช่ ได้คุยกับ นายสมศักดิ์ แล้ว มีหลายเรื่องที่เห็นตรงกันและไม่ตรงกัน ไม่ได้หมายความว่า ขัดแย้งกัน ท่านเข้ามาเป็น รมว.สาธารณสุขได้สัปดาห์เดียว เรื่องกัญชาตนทำมา 4ปี ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว มั่นใจว่าวินาทีนี้ ตนน่าจะมีข้อมูลที่ต้องให้ นายสมศักดิ์ นำไปประกอบพิจารณา ซึ่งต้องเป็นข้อมูลที่ดีและมีประโยชน์ ไม่ได้ทำด้วยทิฐิ นโยบายของพรรคภท.ใครจะมายุ่งเกี่ยวไม่ได้ก็ไม่ใช่ ต้องดูประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก”
ทุกพรรคมองประโยชน์ปชช.เป็นหลัก
เมื่อถามถึงกรณีนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุ ทำไมคิดว่าเหตุการณ์นี้จะกระทบกับพรรคภูมิใจไทย เพราะเรายึดประโยชน์ของประชาชน นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกพรรคการเมืองต้องมองประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก พรรคการเมืองมีนายคือประชาชน นายกฯ พูดไม่ผิด เราต้องมองประโยชน์ประชาชน แต่เรื่องนโยบายของแต่ละพรรค เราอยู่รัฐบาลเดียวกัน ต้องพยายามผลักดันเกื้อกูลกันให้มากที่สุด ให้นโยบายของแต่ละพรรคไปถึงฝั่งฝัน ได้ก็จะวินวินกับทุกคน พรรคภูมิใจไทยก็มีนโยบายกัญชา ตอนที่มาร่วมรัฐบาลถึงได้ถูกบรรจุไว้ในนั้น หลายคนมีความเห็นไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกันแล้ว ต้องเคารพนโยบายของแต่ละพรรค พรรคภูมิใจไทยก็ทำมาตลอด
ทุกฝ่ายต้องยอมรับมติคณะกรรมการ
เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะสร้างความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ‘ไม่มีหรอกครับ เป็นเรื่องความคิดฐานข้อมูลไม่เท่ากัน ใครมีข้อมูลมากกว่า ต้องทำให้เกิดความเข้าใจ จะนำกัญชาไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ ถ้าอะไรที่เปลี่ยนแปลงจากประกาศปัจจุบัน ต้องเข้าคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติ ที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เป็นประธาน หากไปถึงจุดนั้น ผมในฐานะที่เป็นหนึ่งในกรรมการ หากฟังข้อมูลในที่ประชุมนำเสนอไม่ครบ ก็อาจจะต้องชี้แจง แต่ถ้าไปถึงขั้นลงคะแนนเสียง ทุกฝ่ายต้องยอมรับในมติของคณะกรรมการ พรรคภูมิใจไทยพูดได้ชัดเจนว่า เราจะยอมรับในมติของคณะกรรมการ แต่ขอให้เราได้ทำงานของเราก่อน’
นายกฯขอบคุณหนุนซึ่งกันและกัน
ด้าน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ขอบคุณนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังให้สัมภาษณ์ถึงการนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ว่าไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล ชี้นายกฯ พูดไม่ผิด เพราะทุกฝ่ายต้องทำเพื่อประชาชน ยอมรับคุยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อาจต้องรื้อรายงานประชุมเดิม เหตุเคยลงมติหนุนปลดล็อกร่วมกัน ยันถ้าเปลี่ยนแปลงต้องคำนึงทุกฝ่าย หลังสายเขียวเตรียมเคลื่อนไหว โดยนายกฯระบุว่า “ต้องคำนึงถึงทุกฝ่าย ต้องมีการพูดคุยกันในรายละเอียด รัฐบาลเราเอาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้งครับ ขอบคุณท่านรองนายกฯ อนุทิน ที่ช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกันมาโดยตลอด”
พท.ขอบคุณยาเสพติด1เม็ดก็ผิด
น.ส.ลิณธิภรณ์วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสความเห็นของประชาชนต่อมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลว่า ตั้งแต่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำจัดตั้งรัฐบาลเมื่อ 10เดือนที่แล้วจนผ่านพ้นสุญญากาศหลังการเลือกตั้ง ปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งในปัญหาเร่งด่วนที่สุดที่รัฐบาลไม่เพียงประกาศเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8พฤษภาคมที่ผ่านมา นายกฯยังประชุมแก้ปัญหายาเสพติดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้มอบนโยบายเป็นความคืบหน้าล่าสุดอีกว่า ให้แก้ไขกฎกระทรวงฯ ปรับลดปริมาณที่ให้สันนิษฐานว่ามียาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อเสพลงเหลือ 1เม็ด ตลอดจนให้นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดประเภท5 โดยเร่งออกกฎกระทรวงฯ อนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น ที่สำคัญคือ ให้ยกระดับประสิทธิภาพงานบําบัดยาเสพติด ทั้งในศูนย์บำบัด เรือนจําและระบบคุมประพฤติ รวมถึงให้ใช้ค่ายทหารหนึ่งแห่งเป็นต้นแบบนำร่องทดลองบำบัด ก่อนนำผลมาพิจารณาการใช้ค่ายทหาร หรือฝ่ายปกครองตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป
“ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ลงพื้นที่แต่ละจังหวัด เพื่อประสานกับ ส.ส.เขต พบว่าหนึ่งปัญหาที่ประชาชนกังวลมากที่สุดคือยาเสพติด โดยได้รับเสียงสะท้อนที่ดีจำนวนมากต่อทิศทางของรัฐบาล ที่ประกาศให้ยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ดิฉันจึงขอเป็นหนึ่งเสียงร่วมกับเพื่อน ส.ส.พรรคเพื่อไทย แสดงความขอบคุณและส่งความหวังต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการตามข้อสั่งการนายกฯ คืบหน้าภายใน 90วัน เพื่อคืนอนาคตที่ดีให้ลูกหลานพี่น้องประชาชนทุกคน” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว
‘สว.เสรี’ลั่นหมดวาระ แต่ไม่หมดอำนาจ
นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา(สว.) กล่าวว่า สว.ชุดปัจจุบันจะครบวาระวันที่ 10พ.ค.และจากนั้นจะทำหน้าที่ต่อไปจนกว่ามี สว.ชุดใหม่ ทั้งนี้ สว.ที่อยู่ต่อไป ไม่ใช่ชุดรักษาการและยังมีหน้าที่และอำนาจตามปกติที่กฎหมายและรัฐธรรมนูญกำหนด ไม่ใช่เรื่องหมดอำนาจหรือหน้าที่อะไรที่ไม่ควรทำซึ่งการทำหน้าที่ของ สว.ยังทำงานต่อไปได้ โดยประเด็นการเลือกองค์กรอิสระที่ยังมีวาระพิจารณาค้างอยู่ สว.สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ โดยการทำหน้าที่ระหว่างรอ สว.ชุดใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ดังนั้นอย่ามองกันแง่ร้ายว่า คนที่อยู่ไม่ดี หากเลือกคนก็ได้คนไม่ดีด้วย ผมมองว่าหากมีหน้าที่แล้วไม่ทำต่างหากคือคนไม่ดี ส่วนคำครหาต่างๆ ข้อเรียกร้องต่างๆ ควรขึ้นอยู่เหตุและผล”นายเสรีย้ำ เมื่อถามถึงการตรวจสอบของสว.ในการไปดูงานต่างประเทศที่ถูกมองว่าทิ้งทวนใช้งบประมาณ นายเสรี กล่าวว่า ในทางปฏิบัติไม่รู้ว่าใครตรวจกันหรือไม่ ส่วนตนเสนอความเห็นแต่แรกแล้วว่า วาระดูงานต่างๆ ช่วงนี้ไม่เหมาะสม ตนอาจเป็นสว.ที่เห็นไม่ตรงกับคนอื่น ซึ่งทำได้แค่การเสนอความคิดเห็น ส่วนอื่นๆ อยู่ที่ สว. จะตัดสินใจว่าทำอย่างไรหรือไม่.
‘วัชระ’ร้อง ปปช.ไต่สวนไม่ทวงหนี้’แม้ว’
นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธานคณะกรรมการปปช.และกรรมการปปช.ทุกคน และเลขาธิการปปช.ให้ตั้งอนุไต่สวนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง ปลัดกระทรวงการคลังกับพวก กรณีไม่ติดตามให้นายทักษิณ ชินวัตร ชำระเงินตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเอ็กซิมแบ๊งค์ รายละเอียดในหนังสือมีความว่า ด้วยข้าพเจ้า นายวัชระ ได้ทำหนังสือเรียน รมว.คลัง (นายเศรษฐา ทวีสิน) และปลัดกระทรวงการคลัง (นายลวรณ แสงสนิท) เรื่องขอทราบผลการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม. ๓/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๔/๒๕๕๑ กรณีสำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งให้กระทรวงการคลังติดตามจำเลย (พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร) ชดใช้ความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดกฎหมายจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้แก่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยนั้น ต่อมา มีประกาศราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๖ ความตอนหนึ่งเกี่ยวกับนักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร ว่า “ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา” แต่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาเท่ากับขัดพระราชโองการ ไม่มีความสำนึกในความผิดเท่ากับตระบัดสัตย์และนายทักษิณก็ให้สัมภาษณ์ว่าที่ผ่านมา“ของตนเขายัดให้เยอะ”แต่ นายทักษิณ ได้ส่งทนายความของตนเพื่อไปแก้ต่างทุกคดีและศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วทุกคดี
ปปช.ต้องตอบประชาชนภายใน15วัน
บัดนี้ ระยะเวลาล่วงเลยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5เดือน นับแต่วันที่กระทรวงการคลังได้รับหนังสือร้องเรียนของข้าพเจ้าแต่ปรากฏว่า นายเศรษฐา นายลวรณและกรมหรือข้าราชการที่เกี่ยวข้อง มีการกระทำส่อว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต หรือเอื้อประโยชน์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการติดตามให้นายทักษิณ ชดใช้ความเสียหายจำนวน ๑๘๙,๑๒๕,๖๔๔บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเคร่งครัดและมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับทางราชการ ขอให้ ปปช.ดำเนินการกับข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ให้การเป็นประโยชน์ไว้เป็นพยานด้วย จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และกฎหมาย หากผลเป็นประการใดโปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าและพี่น้องประชาชนทราบภายใน 15วันโดยเร็วที่สุด จักขอบคุณยิ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี