สัมมนาบทบาทฝ่ายค้าน ‘อภิสิทธิ์-ชัยธวัช’ชี้ปัญหาวิธีคิด อุปสรรคสร้างกลไกตรวจสอบเข็มแข็งในสภา
วันที่ 17 พฤษภาคม 2567 สถาบันพระปกเกล้า จัดโครงการสัมมนาวิชาการ “คนการเมือง” หัวข้อ “จากอดีต ปัจจุบัน อนาคต บทบาทผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของรัฐสภาและประชาธิปไตยไทย โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงวัฒนธรรมหรือวิธีคิดบางอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลของกลไกรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
อาทิ มองว่าการถกเถียงกันเป็นปัญหา เช่น มีคำพูดว่าไม่อยากให้เรียกว่าฝ่ายค้าน มองว่าการค้านเป็นเรื่องไม่ดี แต่กระบวนการประชาธิปไตยต้องมีการค้านเพื่อให้คนมีทางเลือกและความหวัง และหากไปดูประเทศอื่นๆ ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ไม่ว่าอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา หากดูข่าวต่างประเทศ เวลาที่มีการต่อสู้กันในสภาฯ จะไม่มีมาติดกับดักคำว่า “ต้องค้านอย่างสร้างสรรค์” เพราะค้านก็คือค้าน คือบอกว่าเป็นทางเลือก อย่างในอังกฤษ ฝ่ายค้านเขาพูดชัดเจนเลยว่าเขาจะเป็นรัฐบาลแทน
ซึ่งสำหรับตนเห็นว่าทัศนคติแบบนี้มีปัญหา เพราะกลายเป็นว่าเราไม่อยากให้มีเวทีระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลมานั่งอยู่ด้วยกันแล้วถกเถียงกันจริงๆ ยกเว้นเพียงในสภาฯ เพราะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากไปดูประเทศที่เป็นประชาธิปไตย จะมีรายการทั้งวิทยุและโทรทัศน์ พยายามเชิญตัวแทนทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลมาถกเถียงบนเวทีเดียวกัน แต่สังคมไทยกลัวว่าทำแบบนั้นแล้วทำให้เกิดความวุ่นวาย แม้กระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยบางท่าน ก็ยังเคยบอกว่าสภาฯ มีแต่เรื่องวุ่นวาย เถียงกันไปก็เท่านั้น แต่จริงๆ สิ่งนี้คือหัวใจของกระบวนการประชาธิปไตย
“ที่ผมบอกตอนนี้มันเป็นปัญหาใหญ่ขึ้น เพราะพอภูมิทัศน์ของระบบการสื่อสารมันเปลี่ยน ตอนนี้นักการเมืองยุคนี้ง่ายกว่ายุคก่อนเยอะ เพราะสามารถใช้ Social Media (สื่อสังคมออนไลน์) ทำการสื่อสารฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องตอบคำถามด้วย เดี๋ยวนี้นักการเมืองมีชื่อเสียง มีสถานะ โพสต์เฟซบุ๊ก เป็นข่าว ได้เอาข้อความที่ตัวเองอยากสื่อออกไป แต่การโต้แย้ง การตั้งคำถาม บางคนแทบจะไม่มีการสัมภาษณ์ด้วย ใช้วิธีนี้ในการสื่อสาร แล้วที่น่ากลัวก็คือว่า ถ้าคนใช้ข้อมูลทางการเมืองหลักจากตัวนี้ตัวเดียว เราจะมีสังคมที่แต่ละคนฟังความข้างเดียว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ฝ่ายบริหารไม่ให้ความสำคัญกับการตอบกระทู้ของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมา ตนเห็นนายกฯ ที่ให้ความสำคัญกับการมาตอบกระทู้ในสภาฯ มีเพียง นายชวน หลีกภัย นายสมัคร สุนทรเวช แล้วก็ตนเองเท่านั้น ในขณะที่ปัจจุบัน ฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถามนายกฯ แต่นายกฯ ไม่มา โดยมอบหมายรองนายกฯ แล้วรองนายกฯ มอบหมายรัฐมนตรีว่าการ ตามด้วยรัฐมนตรีว่าการมอบหมายรัฐมนตรีช่วยว่าการ และเมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการลุกขึ้นตอบกระทู้ ก็บอกว่าเรื่องนี้ตอบไม่ได้ เพราะเรื่องนั้นฝ่ายค้านตั้งใจถามนายกฯ
ซึ่งตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ต้องสร้างวัฒนธรรม สร้างค่านิยมนี้มารองรับ หากทำได้บทบาทของฝ่ายค้านจะมีความสำคัญและอยู่ในกระแสความเข้าใจทางการเมืองตลอดเวลา แต่สำหรับประเทศไทย ไฮไลท์ของฝ่ายค้านจะไปอยู่ที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เลยกลายเป็นฝ่ายค้านมีหน้าที่ทำงานแบบตามเทศกาลปีละ 1-2 ครั้ง แล้วก็อาจมีเรื่องงบประมาณด้วย ดังนั้นต้องสร้างความเข้าใจและค่านิยมที่เห็นความสำคัญของฝ่ายค้าน
“พูดตามจริง ผมเป็นนายกฯ มา ถ้ามีจิตวิญญาณของความเป็นนักประชาธิปไตย การมานั่งฟังสภาฯ ฟังฝ่ายค้านแล้วเปิดใจให้กว้าง มันจะได้ประโยชน์ เพราะคนเป็นนายกฯ ข้อมูลหลักมาจากราชการ แต่ข้อมูลหลักฝ่ายค้านมาจากไหน? มาจากชาวบ้าน ซึ่งมุมมองไม่เหมือนกัน ผมหลายครั้งฟังฝ่ายค้านแล้วสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ในการบริหารได้ ผมเคยแม้กระทั่งเสนอกฎหมายในสภาฯ ฝ่ายค้านเหตุผลดีกว่า ผมลุกขึ้นถอนกฎหมายกลับ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ไม่รู้ว่าสอนกันมาอย่างไร แต่ในต่างประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภา จะแบ่งประเด็นต่างๆ ออกเป็นหลายระดับ และในบางระดับก็อนุญาตให้ สส. ฝ่ายรัฐบาลไปลงคะแนนร่วมกับฝ่ายค้านได้โดยไม่ถือว่ากระทบกระเทือนต่อสถานะ อย่างที่อังกฤษ เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน รัฐบาลเสนอให้สภาฯ เห็นชอบเรื่องส่งทหารไปซีเรีย ปรากฏว่า สส. ฝ่ายรัฐบาลเห็นด้วยกับฝ่ายค้าน ก็ไม่เห็นบอกว่าเป็นปัญหา แต่รัฐบาลเคารพและไม่ส่งทหารไปซีเรีย ซึ่งเราต้องสร้างประเพณีแบบนี้ให้มากขึ้น
แต่ของประเทศไทย ตนก็ไม่แน่ใจ แต่มีหลักฐานอยู่แล้วว่าใครลงคะแนนอย่างไร ก็จะเห็นว่า ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ สส. ฝ่ายรัฐบาล หากมาลงคะแนนร่วมกับ สส. ฝ่ายค้าน กลายเป็นความผิดปกติจนเป็นประเด็นทางการเมืองไป จึงทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีความยิดหยุ่นน้อยลงมาก อนึ่ง ในประเทศที่ปกครองด้วยระแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มักไม่ค่อยมีการตั้งองค์กรอิสระขึ้นมา ซึ่งไทยก็เคยทำเช่นนั้น ผลคือมาแต่ตัวบท ประเพณีและจิตวิญญาณไม่ได้มาด้วย
อย่างในต่างประเทศ หากใครดูข่าวอาจมีคำถามว่าทำไมรัฐมนตรีลาออกกันง่ายมาก ไม่ต้องรอถึงขั้นถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือต้องไปร้องเรียนกับ ป.ป.ช. ด้วยซ้ำ เพียงมีเรื่องอื้อฉาว เรื่องไม่ถูกต้อง หรือผิดประมวลจริยธรรม คนที่เกี่ยวข้องเขาแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเอง ซึ่งไม่ได้หมายความคนคนนั้นจะต้องผิดเสมอไปหรือไม่สามารถกลับมาได้อีก แต่ลาออกเพื่อรักษาศรัทธาที่ประชาชนมีต่อสถาบันทางการเมือง เป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบที่แม้จะมีเสียงข้างมากยังจะต้องรับผิดชอบการกระทำหรืออะไรต่างๆ ทีเกิดขึ้น
“ของเราพอมาแต่ระบบ ไมได้มาด้วยจิตวิญญาณ ในอดีตที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เกิดขึ้นเลย คนก็เลยไปใช้คำว่าเสียงข้างมากลากไป และอีกคำที่น่าจะมีเฉพาะในประเทศไทยคือเผด็จการรัฐสภาขึ้นมา ก็เลยเกิดปัญหาว่า อ้าว! ถ้าคนข้างในไม่มีจิตวิญญาณที่จะทำเอง ใครจะมาทำ? เดิมก็โยนให้ศาล กระบวนการศาลก็เป็นกระบวนการที่ใช้เวลา ก็ไมได้เหมาะสมสอดคล้องกับการตรวจสอบแบบนี้ ปี 40 (รัฐธรรมนูญ) ก็จึงไปคิดเรื่ององค์กรอิสระขึ้นมา ซึ่งมาถึงวันนี้ทุกคนก็มองเห็นปัญหาแล้ว ว่าศรัทธาในตัวองค์กรอิสระก็ลดน้อยถอยลงจนใม่น่าเชื่อถือ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ด้าน นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน กล่าวว่า คำถามที่ว่าการที่ฝ่ายค้านไม่ดีพอในความหมายของกลไกในระบบรัฐสภา รวมถึงในทางความคิดหรือวัฒนธรรมของนั้นเป็นเพราะอะไร ปัญหาใหญ่คือระบบรัฐสภา หรือหากพูดให้ชัดคือสภาผู้แทนราษฎร ถูกลดสถานะทางการเมืองลงเรื่อยๆ จากหลายปัจจัยตามแต่บริบทของแต่ละยุคสมัย
โดยหากย้อนไปในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 รัฐธรรมนูญออกแบบให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจสูงสุด ซึ่งสมัยนั้นเป็นรูปแบบสภาเดี่ยว แต่เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะนับตั้งแต่หลังปี 2500 ไม่ว่าจะเป็นยุคเผด็จการหรือไม่ก็ตาม สถานะของสภาผู้แทนรษษฎรค่อยๆ ต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งในแง่สถาบันทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็ถูกทอนอำนาจจากสถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากประชาชน และในแง่เทียบกับฝ่ายบริหาร กลายเป็นว่าในปัจจุบัน แม้จะบอกว่าการเมืองไทยเป็นระบอบรัฐสภา แต่เบอร์ 1 เป็นรัฐบาลไม่ใช่สภาผู้แทนราษฎร
“หลายคนบอกว่าเราปกครองด้วยมติคณะรัฐมนตรี แล้วฝ่ายนิติบัญญัติจริงๆ อาจจะเป็นกฤษฎีกา ไม่ใช่สภาผู้แทนราษฎร กฤษฎีกาคือฝ่ายนิติบัญญัติจริงๆ ที่ไม่ถูกตรวจสอบจากใครเลย บางทีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ควบคุมไมได้ด้วย คือศักดิ์ศรีในกระบวนการนิติบัญญัติไม่ใช่อยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร ผมคิดว่าอันนี้จะเป็นปัญหาใหญ่ คือสถานะสภาผู้แทนราษฎรมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงเรื่อยๆ ซึ่งมันก็กระทบกับฝ่ายค้านด้วย เพราะฝ่ายค้านทำงานผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎร” นายชัยธวัช ระบุ
นายชัยธวัช กล่าวต่อไปว่า เมื่อดูการเมืองในประเทศไทย เท่าที่ตนจำความได้ อย่างตอนเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลประชาธิปไตยครึ่งใบ สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มาสู่รัฐบาลประชาธิปไตยเต็มใบ สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องป้ญหาคอร์รัปชั่น มีการตั้งฉายาว่ารัฐบาลบุฟเฟต์คาบิเน็ต ดังนั้นเมื่อเกิดรัฐประหารในปี 2534 บรรยากาศเวลานั้นคือคนจำนวนมากดีใจ บอกว่าดีแล้วที่ทหารมาไล่รัฐบาลโกงกินออกไป แต่ประชาชนก็ไม่ได้ชอบรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ทำให้ผ่านไป 1 ปี ประชาชนก็ออกเรียกร้องประชาธิปไตยกันอีก
แต่เมื่อเรียกร้องประชาธิปไตยสำเร็จ พอหันไปมองที่สภาฯ ดูรายชื่อบุคคลที่คาดว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ประชาชนโดยเฉพาะมุมมองจากชนชั้นกลาง ก็ไม่อยากได้คนเหล่านั้นอีก บางกลุ่มก็ไปเรียกร้องขอนายกฯ พระราชทาน จนได้นายอานันท์ ปันยารชุน มาดำรงตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม กระแสเรียกร้กงการปฏิรูปประชาธิปไตยก็มีสูงมาก จนนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540
ซึ่งที่ตนเล่ามายาวแบบนี้ เพราะสังคมไทยเกิดภาวะที่เรียกว่า ด้านหนึ่งประเทศไทยต้องปกครองแบบประชาธิปไตยและต้องมีการเลือกตั้ง แต่อีกด้านหนึ่งก็รังเกียจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และไม่ศรัทธาเชื่อมั่นในสภาผู้แทนราษฎร นำไปสู่คำขวัญปฏิรูปการเมืองในเวลานั้นว่า “ปิดทุจริต เปิดประสิทธิภาพ สร้างภาวะผู้นำ” กลายเป็นการออกแบบรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้เป็นระบบ 2 พรรคการเมืองใหญ่ เพื่อให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีมีความเข้มแข็ง เพราะก่อนหน้านั้นมักจะเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคที่ไม่สามารถบริหารประเทศได้
แต่เมื่อต้องการสร้างกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารหรือสถาบันทางการเมืองที่มาจากประชาชน การออกแบบรัฐธรรมนูญได้มองข้ามสภาผู้แทนราษฎรไปเลย ด้วยการไปหยิบยืมกลไกองค์กรอิสระมาจากหลายประเทศ เป็นความพยายามสร้างสถาบันทางการเมืองที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน และเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่ได้ทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ และถูกตั้งคำถามด้วยว่าแล้วใครตรวจสอบองค์กรเหล่านี้
“แล้วเราจะไปอย่างไรต่อ? ผมคิดว่าเมื่อเป็นแบบนี้ ในฐานะฝ่ายค้าน ในฐานะที่เราเป็นหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร เราต้องมีบทบาท แม้จะเป็นฝ่ายค้านก็ต้องมีบทบาทในการฟื้นความเชื่อมั่นและศรัทธาในสภาผู้แทนราษฎรในระบบรัฐสภาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยการพยายามยกระดับคุณภาพการทำงาน รวมถึงการเพิ่มอำนาจด้วยในเชิงออกแบบสถาบันทางการเมือง ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะไปเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญด้วย คือต้องพยายามเพิ่มอำนาจให้กลับมาสู่สภาผู้แทนราษฎรหรือระบบรัฐสภาให้มากกว่านี้” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช ยังกล่าวอีกว่า แม้กระทั่งกลในในสภาผู้แทนราษฎร หลายเรื่องต้องเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ศักดิ์ศรีของสภาผู้แทนราษฎรหรืรัฐสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติต้องยิ่งใหญ่กว่ากฤษฎีกา หรือสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) ซึ่งดูเรื่องงบประมาณ ต้องได้รับการส่งเสริมให้มีศักยภาพมากกว่านี้ ซึ่งมีประโยชน์มาก ขณะที่ในด้านกลับ ต้องไม่ไปบั่นทอนสถาบันทางการเมืองที่มาจากประชาชน อีกทั้งต้องส่งเสริมวิธีคิดว่า หากจะแก้ปัญหาประชาธิปไตยที่คนรู้สึกไม่เชื่อมั่นศรัทธาสถาบันการเมืองที่ยึดโยงกับนักการเมืองจากการเลือกตั้ง คือต้องทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี