ศาลฎีกาสั่งจำคุก สนธิญาณ ขวางเลือกตั้ง 8 เดือน แต่แก้โทษเป็นรอลงอาญา 2 ปี ปรับ 2.5 หมื่น ศาลชี้ขังไปไม่มีประโยชน์ ให้ทำหน้าที่สื่อต่อ ส่วนอีก 3 กปปส.รอดยกฟ้อง
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 ที่ห้องพิจารณา 609 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีกบฎ กปปส.สำนวนแรก หมายเลขดำ อ.1191/2557 , อ.1298/2557 , อ.1328/2557 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม อายุ 62 ปี แกนนำ กปปส. , นายสกลธี ภัททิยกุล อายุ 47 ปี อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปะตย์ , นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อายุ 73 ปี อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และอดีตประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง และสภาปฏิรูปการเมือง (สปช.) และ นายเสรี วงษ์มณฑา อายุ 75 ปี นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาดเป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ , กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่การกระทำในความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือความไม่สงบในราชอาณาจักรฯ , อั้งยี่ , ซ่องโจร , มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ , เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการกระทำนั้นแต่ไม่เลิก, ยุยงให้ร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงานงดจ้างเพื่อบังคับรัฐบาล , ร่วมกันบุกรุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 , 116 , 117 , 209 , 210 , 215 , 362 , 364 , 365 และร่วมกันขัดขวางเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง , ร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติงานของ กกต.ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มา ซึ่ง ส.ว.พ.ศ. 2550 มาตรา 76 , 152 รวม 8 ข้อหา
โดยสำนวนคดีแรกนี้ อัยการยื่นฟ้อง ตั้งแต่ปี 2557 กรณีสืบเนื่องจากการร่วมชุมนุมกันของ กปปส.ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้นำการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อระหว่างวันที่ 23 พฤษจิกายน 56 - 1 พฤษภาคม 57 ซึ่งมีการพาผู้ชุมนุมบุกรุกปิดสถานที่ราชการหลายแห่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ซึ่งท้ายคำฟ้องอัยการโจทก์ยังได้ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของจำเลยด้วยมีกำหนด 5 ปี
จำเลยทั้ง 4 คนให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีทุกข้อหา และได้รับการประกันตัว
คดีนี้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 62 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์
ต่อมาศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายสนธิญาณ จำเลยที่ 1 มีความผิด ตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.เเละ สว.กรณีร่วมกับ นายสำราญ รอดเพชร ขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่โรงเรียนสุโขทัย เขตดุสิต ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ให้จำคุก 1 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ไม่รอลงอาญา รวมถึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปีด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 - 4 โจทก์ไม่ได้ร่วมนำสืบว่าและมีพยานหลักฐานว่าไปขัดขวางการเลือกตั้ง อุทธรณ์โจทก์ข้ออื่นก็ไม่เป็นสาระสำคัญ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาเฉพาะจำเลยที่ 1 นอกนั้นให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลย ยื่นฎีกา
โดยวันนี้ จำเลยทั้ง 4 คน เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด รวมทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส.ก็ได้เดินทางมาให้กำลังใจด้วย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า มีประเด็นต้องวินิฉัยเฉพาะฎีกานายสนธิญาณ จำเลยที่ 1 เท่านั้น โดยศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาจำคุก นายสนธิญาณ 8 เดือนนั้นเหมาะสมแล้ว เพื่อให้หลาบจำ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายมาก จำเลยไม่เคยรับโทษมาก่อน ประกอบอาชีพเป็นสื่อมวลชน เห็นควรให้ไปประกอบอาชีพรับใช้สังคม การลงโทษจำคุกระยะสั้นไม่เกิดประโยชน์ ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 เดือน แต่เห็นว่า โทษจำคุกควรรอลงอาญา 2 ปี ปรับ 20,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 - 4 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี