"เอ๋ ปารีณา"เฮ! องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง ยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ จ่อฟ้องกลับ ปปช.แน่มาตรา 157 เป็นองค์กรอิสระจริงหรือไม่ ควรยุบได้แล้ว ให้อำนาจชี้มูลเป็นของอัยการ แนะ"ทักษิณ"ควรไปฟังคำสั่งฟ้อง อสส. ม.112 เพื่อไปต่อสู้ในชั้นศาล
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ศาลนัดฟังคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดี อม.อธ.10/2566 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้กล่าวหา ยื่นคำร้องกล่าวหา น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ผู้ถูกกล่าวหา กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จฯ
โดย ป.ป.ช.ระบุฟ้องสรุปความผิดว่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565 ว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน 2 รายการ ขอให้ลงโทษตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 114 วรรคสอง (1), 167 และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหาตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 81
น.ส.ปารีณา ผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ
คดีนี้เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มติเสียงข้างมาก เห็นว่า สำหรับรายการเงินให้กู้ยืม นาย ป. ยอมรับว่า ผู้ถูกกล่าวหาให้เงินสนับสนุนในการหาเสียงเลือกตั้งเเละทำสัญญากู้ยืมไม่ได้เป็นการช่วยเหลือแบบให้เปล่า ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสัญญาเงินกู้ดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิปลอม หรือมีการสมคบกันทำสัญญาเงินกู้ขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและ หนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ ส่วนรายการพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ศาลมติเสียงข้างมาก เห็นว่า นาย อ. อดีตสามีของ เป็นเจ้าของพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย (กรุใหม่) และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ซึ่งเป็นองค์เดียวกับที่แสดงในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของคู่สมรส เนื่องจากนาย อ. กำลังจะหย่ากับผู้ถูกกล่าวหา นาย อ. เคยให้ผู้ถูกกล่าวหายืมใส่พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย (กรุเก่า) และพระนางกำแพง หลังจากหย่ากันผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้คืนให้ พระเครื่องที่ผู้ถูกกล่าวหาครอบครองเป็นคนละองค์กับพระเครื่องสององค์ดังกล่าว และผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคำว่าหลังจดทะเบียนหย่าผู้ถูกกล่าวหาครอบครองพระเครื่องสององค์เรื่อยมา เป็นเหตุให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจว่าตนเป็นเจ้าของพระเครื่องทั้งสององค์ที่อยู่กับตนและเป็นองค์เดียวกับที่เคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจมาโดยตลอดว่าพระเครื่องทั้งสององค์ที่ได้รับมาจากนาย อ. ระหว่างสมรสและอยู่ในความครอบครองเรื่อยมา
ดังนั้น พฤติกรณ์แห่งคดีจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาแสดงรายการพระเครื่องไม่ตรงกับที่มีอยู่จริงและระบุราคาสูงกว่าความเป็นจริง พิพากษายกคำร้อง
ป.ป.ช.ผู้กล่าวหา ยื่นอุทธรณ์
ในวันนี้ น.ส.ปารีณา เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ และบุตรชาย
ศาลฎีกา โดยองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ มีคำสั่งรับอุทธรณ์วันที่ 15 ก.พ.67 เห็นว่า รายการเงินให้กู้ยืมรายนาย ป. องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมาก เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาใช้สิทธิร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญาแก่นาย ป. ข้อหาฉ้อโกงและออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คตั้งแต่ก่อนที่จะมีผู้ยื่นหนังสือขอให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจสอบและเปิดเผยรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหาตามที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินครั้งนี้
ต่อมาผู้ถูกกล่าวหายังใช้สิทธิทางแพ่งฟ้องเรียกเงินตามสัญญาเงินกู้จากนาย ป. โดยในคดีดังกล่าวนาย ป. และนาย ส. เบิกความและตอบคำถามค้านไว้ว่าผู้ถูกกล่าวหาให้เงินสนับสนุนนาย ป. ในการหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลเมื่อประมาณปี 2555 และได้ความจากผู้ถูกกล่าวหากับนาย อ. เบิกความทำนองเดียวกันเกี่ยวกับความเป็นมาของมูลหนี้ตามสัญญาเงินกู้ว่า มีมูลหนี้เดิมที่ผูกพันกันมาก่อน ทั้งนาย ป. ลงลายมือชื่อในสัญญาเงินกู้โดยไม่มีการข่มขู่บังคับถือว่ายินยอมลงลายมือชื่อในสัญญาเงินกู้ด้วยความสมัครใจ พฤติการณ์ของนาย ป. จึงสอดคล้องกับลำดับเหตุการณ์และทางนำสืบเกี่ยวกับความเป็นมาของมูลหนี้ของผู้ถูกกล่าวหาอย่างสมเหตุสมผล
ส่วนถ้อยคำของผู้ถูกกล่าวหาในชั้นไต่สวนของผู้ร้องและคำให้การของ ผู้ถูกกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนก็ไม่เป็นข้อพิรุธถึงขนาดต้องนำมารับฟังผูกพันผู้ถูกกล่าวหาเป็นเด็ดขาดไม่พฤติการณ์ที่ผู้ถูกกล่าวหาฟ้องนาย ป. เป็นคดีแพ่งเรียกเงินตามสัญญาเงินกู้มีลักษณะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย และการที่นาย ป. ยินยอมลงลายมือชื่อในสัญญาเงินกู้และเช็คแล้วส่งมอบให้ผู้ถูกกล่าวหาไว้พร้อมกับโฉนดที่ดิน ซึ่งหากเห็นว่าไม่มีความรับผิดต่อกันจริงย่อมเป็นเรื่องผิดวิสัยของวิญญูชนที่ยินยอมส่งมอบทรัพย์สินหรือกระทำการใดในลักษณะประกันการชำระหนี้ไว้แก่ผู้ถูกกล่าวหา
พฤติการณ์แห่งคดีย่อมมีเหตุให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจว่าตนมีสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามสัญญาเงินกู้ได้ ส่วนที่ว่ามูลหนี้ตามสัญญาเงินกู้จะบังคับได้หรือไม่ เพียงใด เป็นเรื่องทางแพ่งที่ต้องพิจารณาแยกต่างหาก จึงรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินส่วนนี้ สำหรับรายการพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย และพระสมเด็จนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่นั้น องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ เห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบพระเครื่องที่ระบุในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกับ ที่ผู้ถูกกล่าวหานำมาแสดงมีลักษณะและรูปทรงเดียวกัน ซึ่งผู้ถูกกล่าวหายืนยันตั้งแต่ชั้นไต่สวนของผู้ร้องว่าพระเครื่องทั้งสององค์ที่ระบุในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นพระเครื่องที่นาย อ. มอบให้ระหว่างสมรสโดยแจ้งว่าเป็นพระเครื่องใดกับแจ้งราคาให้ทราบ ส่วนกรอบพระเครื่องแม้มีความแตกต่างกัน แต่ตาม บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบมุ่งเน้นการแสดงทรัพย์สินในส่วนองค์พระเป็นสำคัญ กรอบพระเครื่องที่แตกต่างกันมิใช่สิ่งยืนยันแน่ชัดว่าผู้ถูกกล่าวหาต้องรู้ว่าพระเครื่องที่อยู่ในกรอบนั้นเป็นคนละองค์กัน นอกจากนี้ นาย อ. ให้ถ้อยคำต่อผู้ร้องและเบิกความว่า เคยให้ผู้ถูกกล่าวหายืมใส่พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย ที่เคยแสดงไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินในส่วนคู่สมรสในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2556 และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีเมื่อปี 2557 ภายหลังจดทะเบียนหย่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้คืนพระเครื่องให้
นอกจากนี้ ตามบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าวในส่วนทรัพย์สินของคู่สมรสมีทรัพย์สินที่เป็นพระเครื่องอื่นอีกหลายรายการ รวมถึงมีพระสมเด็จที่มีรูปทรงพิมพ์คล้ายกันอยู่อีก ยิ่งสนับสนุนให้เชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจว่าพระเครื่องที่ตนครอบครองคือพระเครื่องทั้งสององค์ที่ระบุในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพฤติการณ์ที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงรายการพระเครื่องทั้งสององค์ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินมาโดยตลอด ทั้งผู้ถูกกล่าวหายินยอมส่งมอบพระเครื่องที่ตนครอบครองให้ผู้ร้องตรวจสอบด้วยดี โดยไม่ปรากฏมูลเหตุจูงใจใดให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องปกปิดทรัพย์สินหรือแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องผู้ถูกกล่าวหามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของ ป.ป.ช.ผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง
ภายหลัง นายทิวา การกระสัง ทนายความของ น.ส.ปารีณา กล่าวว่า ป.ป.ช.มีการอุทธรณ์ใน 2 ประเด็น ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า น.ส.ปารีณา จะให้การในชั้นการสอบสวนของ ป.ป.ช.ที่แตกต่างกันว่า มีการกู้เงินจริง เพราะลูกหนี้ยอมรับ ว่า น.ส.ปารีณา ได้ช่วยเหลือในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2555 จึงมีการกู้เงินจำนวน 10 ล้านบาท แต่ใช้คืนไม่หมด จึงมีการทำสัญญาในปี 2561 ซึ่งถือว่าเป็นมูลเหตุของคดีนี้ โดยในที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ของ ป.ป.ช.
ส่วนกรณีครอบครองพระ 2 องค์ แม้ว่าจะมีความแตกต่างกัน แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า น.ส.ปารีณา ไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่อง จึงเชื่อได้ว่าพระ 2 องค์ดังกล่าว เป็นพระองค์เดียวกัน ถึงแม้กรอบพระจะแตกต่างกัน แต่การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เป็นการตีราคาพระ ไม่ได้ตีราคากรอบพระ จึงเชื่อได้ว่า น.ส.ปารีณา ไม่มีเจตนาจงใจ ที่จะไม่แสดงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน หรือที่มาของทรัพย์สิน พร้อมกับย้ำว่าศาลฎีกาในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ จึงมีคำวินิจฉัยยกคำร้องอุทธรณ์ของ ป.ป.ช.
นอกจากนี้ จะมีการฟ้องกลับในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 เนื่องจากการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ผู้ที่แสดงเป็นเท็จต้องมีเจตนาพิเศษคือ การจงใจที่จะปกปิดทรัพย์สินไม่ให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ทั้งยังไม่เชื่อเอกสารที่มีการยื่นโต้แย้งไป อีกทั้งยังยืนยันว่าเรามีเจตนาพิเศษที่จะปกปิด ดังนั้น จึงมีสิทธิฟ้องเรื่องการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยหลังจากนี้จะมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวกับ น.ส.ปารีณา อีกครั้ง
ด้าน น.ส.ปารีนา ได้กล่าว ขอบคุณศาลฎีกาที่ให้ความยุติธรรมแก่ตน วันนี้รู้สึกดีใจมาก และรู้สึกว่ายังมีข้อบกพร่องของกระบวนการยุติธรรม และเรื่องขององค์กรอิสระที่ไม่มีความเป็นอิสระ ซึ่งมีการใช้หน้าที่เกินขอบเขตลุแก่อำนาจ วันนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังมีที่พึ่งหวังคือศาลฎีกา ที่ยังสามารถใช้ต่อสู้คดี เพื่อหาความยุติธรรม
เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะมีการดำเนินการทางกฎหมาย ฟ้องกลับ ป.ป.ช.หรือไม่ น.ส.ปารีณา กล่าวยืนยันว่า จะฟ้องกลับอย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้กับผู้อื่น เพราะการกู้ยืมเงินครั้งนี้ มีสัญญาเงินกู้ บ้านและที่ดินค้ำประกัน มีการเซ็นเช็ค เพื่อชำระ และเรื่องของพระ ก็มีฎีกาออกมาแล้ว ว่าเป็นเรื่องของความพอใจ และยืนยันว่าส่วนตัวตนไม่เคยครอบครองพระมาก่อนแต่งงาน แต่หลังจากนั้นอดีตสามีได้มอบพระให้กับตน ยืนยันว่าตนไม่ใช่เซียนพระที่มีความรู้เรื่องพระ เพียงแต่มีสามีที่เป็นเซียนพระเท่านั้น และเคยมอบพระให้กับตน พร้อมยืนยันว่ามีความบริสุทธิ์ ในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน พร้อมระบุว่า ตนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่ถูกชี้มูลความผิดในครั้งนี้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการทำเกินขอบเขตอำนาจกฎหมาย และก่อนที่จะถูก ป.ป.ช.ชี้มูลทนายความตนได้ทำหนังสือคัดค้าน และขอยื่นอุทธรณ์แล้วว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย แต่ ป.ป.ช.ยังคงเดินหน้าชี้มูลความผิดตน
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.ได้ล่ารายชื่อประชาชน เพื่อถอดถอนคณะกรรมการ ป.ป.ช.บางท่านนั้น น.ส.ปารีณา มองว่า เป็นความเห็นของประชาชนกลุ่มหนึ่ง แต่ตนมองว่าควรจะยุบ ป.ป.ช.ไปเลย เพราะไม่รู้ว่าจะมีไว้ทำไม ซึ่งความรู้มีไม่เท่ากับอัยการ และ ป.ป.ช.ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย เรียนนิติศาสตร์หรือไม่
สำหรับกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดตามมาตรา 112 นั้นเห็นว่า มาตรา 112 เป็นคดีที่ตีความยาก ดังนั้นอัยการสูงสุดเป็นผู้เดียวที่จะสามารถสั่งฟ้องได้ ถือเป็นคดีละเอียดอ่อน ซึ่งนายทักษิณ สามารถไปสู้คดีต่อได้ในชั้นศาล โดยหากเทียบเคียงกับคดีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยดำเนินคดีกับ นายจตุพร พรหมพันธ์ุ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ซึ่งอัยการสูงสุดก็มีคำสั่งฟ้องเช่นเดียวกัน แต่มีการยกฟ้องในชั้นศาล ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้ตนได้เห็นรายละเอียดเล็กน้อย ไม่ครบถ้วน และตนไม่ได้มีความรู้ในเรื่องกฎหมายมากเท่าไหร่
ดังนั้น จึงอยากให้นายทักษิณ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมกับให้ไปรับทราบคำสั่งอัยการสูงสุด ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าศาลจะให้ความยุติธรรม เช่นเดียวกันกับที่ได้ให้ความยุติธรรมกับตนเอง แต่การไม่ไปรับทราบคำสั่งอัยการจะทำให้สังคมตั้งคำถาม และจะถูกต่อว่าได้
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ปารีณา เคยถูกศาลฎีกาพิพากษาตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี ไปเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 กรณีรุกที่ป่าสงวนครอบครอบที่ดินโดยไม่คืนที่ดินสู่การปฏิรูป จำนวน 711 ไร่ ที่ใช้ทำฟาร์มไก่ใน จ.ราชบุรี จากคำร้องของ ป.ป.ช.ฐานกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2561
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี