หามือก.ม.ไม่ได้-ไม่พร้อมบริหารปท.
‘ก้าวไกล’เย้ย‘เศรษฐา’
ต้องดึง‘วิษณุ’ช่วยงานรบ.
เหตุไม่เชื่อมั่นทีมก.ม.เพื่อไทย
นายกฯเมินโต้เสียงวิจารณ์
ให้ไปถามในสภาถึงจะตอบ
“รังสิมันต์ โรม” สส.ก้าวไกล ได้ที เหน็บ “เศรษฐา” เคยด่า “วิษณุ” แต่สุดท้ายขอให้ช่วย ตอกย้ำหามือกฎหมายไม่ได้-ขาดความพร้อมบริหาร ต้องพึ่งเนติบริกรคนเดิม สุดท้ายก็เหล้าเก่าในขวดใหม่ เสี้ยมไม่เชื่อมือ“ชูศักดิ์” หวังแก้เกมคดีศาลรัฐธรรมนูญ “จุลพงศ์” วอน“วิษณุ” ปล่อยวางการเมือง เอาเวลาไปรักษาสุขภาพ-หาความสุขดีกว่า อย่าหลงเชื่อลมปากรัฐบาลนี้ขาด“เนติบริกร” ไม่ได้ ขณะที่ นายกฯ “เศรษฐา” เมิน“โรม” วิจารณ์ดึง‘อ.วิษณุ’เป็นกุนซือกฎหมายรัฐบาล เพราะไม่เชื่อมั่นทีมกฎหมาย‘เพื่อไทย’ชี้ถ้าถามในสภาจะตอบ น‘ธรรมนัสงมั่นใจ’วิษณุ’ช่วยงานรัฐบาลได้ ปัดวิจารณ์เพื่อไทยไร้คนเก่งกฎหมาย
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ณ Mövenpick BDMS Wellness Resort กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม Thailand-U.S. Trade and Investment Conference 2024: “Building on a Longstanding Partnership” ซึ่งจัดโดยหอการค้าไทย หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (The American Chamber of Commerce - AMCHAM) และหอการค้าสหรัฐอเมริกา (the U.S. Chamber of Commerce – USCC) ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมรับฟังกว่า 300 คน
นายกฯโวไทยพร้อมเปิดรับนักลงทุน
โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณความเป็นหุ้นส่วนที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างกัน พร้อมขอบคุณคำแนะนำเชิงนโยบาย ซึ่งนายกฯ ได้นำแนวคิด “Five to Thrive” ซึ่ง AMCHAM แนะนำมาพิจารณา และมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาล นายกฯย้ำชัดถึงข้อความที่ตั้งใจบอกไปยังนานาประเทศตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง “ประเทศไทยเปิดพร้อมรับการลงทุน และไม่มีเวลาไหนดีไปกว่านี้ที่จะลงทุนในไทย” “Thailand is open for business, and there is no better time to invest in Thailand” ความร่วมมือกับผู้ประกอบการทั่วโลกทำให้รัฐบาลมีความก้าวหน้าในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมถึงการสนับสนุนการทำธุรกิจ (ease-of-doing-business) ผ่านการทบทวนกฎหมาย เปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัล และกระบวนการที่ไร้รอยต่อ (streamlined processes) เช่น BOI ขยายเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (corporate income tax : CIT) ออกไปอีก 3 - 5 ปี สำหรับ 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ได้แก่ อุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค ในปี 2566 BOI ได้รับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่า 12.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อนถึง47%
ไทย-สหรัฐฯพร้อมร่วมมือพัฒนาศก.
แม้ตัวเลขจะเป็นบวก แต่รัฐบาลยังต้องดำเนินการต่อเนื่องเพื่ออนาคตประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ Ignite Thailand วางแผนงานประเทศในการเป็นศูนย์กลางใน 8 ภาคส่วนหลัก การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพเกษตรกรรมและอาหาร การบิน โลจิสติกส์ ยานยนต์แห่งอนาคต เศรษฐกิจดิจิทัล และการเงิน นายกฯเคยกล่าวถึงวลี“Trade flies the flag” กับนักธุรกิจสหรัฐฯ ที่ New York สะท้อนความร่วมมือตั้งแต่วันแรกของสองประเทศได้เป็นอย่างดี ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีสนธิสัญญา the Treaty of Amity and Commerce กับสหรัฐฯ เมื่อปี1833และตลอดสองศตวรรษที่ผ่านมาการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกันแข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่องในทุกมิติของความร่วมมือทวิภาคีแทบไม่มีมิติไหนที่ไทยไม่ร่วมมือกับสหรัฐฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรียังคงมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมกับสหรัฐฯ ทั้งระดับทวิภาคีและผ่าน IPEF เพื่อขยายความร่วมมือและการลงทุนและเพื่อจัดการกับความท้าทายสมัยใหม่เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันทั้งนี้ คำถามสำคัญคือ บทต่อไปของความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร
ไทยเป็นศูนย์กลางของชาติในอาเซียน
นายกรัฐมนตรีเห็นภาพความเชื่อมโยงกันมากขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มองไปสู่อนาคต ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้ กล่าวถึง วิสัยทัศน์ Ignite Thailand เพื่อเชื่อมโยงกับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ 1.โลจิสติกส์ ด้วยที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของไทย รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางความเชื่อมโยงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไกลออกไป รัฐบาลกำลังดำเนินโครงการ Landbridgeและเมื่อรวมกับระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ใหม่ จะมีส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าและโลจิสติกส์จากมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังมหาสมุทรอินเดีย และช่วยยกระดับการเชื่อมโยงการขนส่งทางบก และทางทะเล และเสนอโอกาสภายใต้ภูมิทัศน์ทางภูมิศาสตร์การเมืองใหม่ 2.การบินไทยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการบินทั้งผู้โดยสารและสินค้า รัฐบาลกำลังเร่งสร้างสนามบินใหม่ และพัฒนาสนามบินที่มีอยู่ทั่วประเทศ สนามบินในกรุงเทพมีการเพิ่มประสิทธิภาพครั้งใหญ่ สร้างอาคารผู้โดยสารฝั่งใต้แห่งใหม่ การขนส่งแบบ cold chain และการขนถ่ายสินค้าใหม่ และรันเวย์เพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความจุผู้โดยสารทั้งหมดจาก 60 ล้านคนเป็น 150 ล้านคน และมีแผนสร้างสนามบินนานาชาติล้านนา ในภาคเหนือ และสนามบินนานาชาติอันดามัน ภาคใต้ รวมถึงเพิ่มอาคารผู้โดยสารสำหรับอากาศยานทางทะเล (Sea Plane) เพื่อทางเลือกในการคมนาคม และในส่วนของการเปลี่ยนแปลงสีเขียว ไทยกำลังพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuels : SAF) โดยใช้วัตถุดิบที่มีผสมผสานกับองค์ความรู้ของสหรัฐฯ จึงเสนอเชิญชวนนักธุรกิจสหรัฐฯ ให้ใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้
ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน
3.ดิจิทัล ด้วยอินเทอร์เน็ต 5G ที่ครอบคลุม โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง และประชากรที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค จึงขอเชิญสหรัฐฯ เข้ามาร่วมสนับสนุนในด้านต่างๆ อาทิ AI, Data Center ระบบนิเวศดิจิทัลอัจฉริยะ และโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจน พัฒนาทักษะแรงงานรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง 4.ยานยนต์แห่งอนาคต ความยั่งยืนยังคงเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล การเปลี่ยนผ่านสีเขียวเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ท้าทายที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลได้วางแผนงานที่ครอบคลุมเพื่อให้สามารถผลิตพลังงานหมุนเวียน 50% ภายในปี 2583 ไทยมุ่งหวังที่จะเป็นศูนย์กลางยานยนต์แห่งอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งระบบห่วงโซ่ของอุตสาหกรรม EV จึงขอเชิญชวนสหรัฐฯ ให้เข้ามาลงทุน และสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศ EV ที่ครอบคลุมและเทคโนโลยีการขับเคลื่อนแห่งในอนาคต ประเทศไทยกำลังทำการสำรวจไฮโดรเจนสีเขียว ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี (battery storage solutions) เทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (carbon capture, utilization & storage: CCUS) และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (Small Modular Reactor:SMR) เพื่อช่วยให้การผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ขอช่วยยกระดับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ
5.การท่องเที่ยว การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนเป็นการลงทุนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ในอนาคตให้แข็งแกร่ง วิสัยทัศน์ Ignite Tourism Thailand 2025 จะยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก โดยรัฐบาลกำลังปรับปรุงระบบการขอวีซ่า เพื่อให้การเดินทางเข้าประเทศง่ายขึ้น เพิ่มความคล่องตัวให้กับทั้งนักท่องเที่ยว และนักเดินทางเพื่อธุรกิจ ประเทศไทยเปิดและพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้ของสหรัฐฯ บทใหม่ของความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงถึงกัน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มองไปสู่อนาคต เป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น แต่ประเทศไทยพร้อม โดยตอนท้ายนายกฯ กล่าวว่า วิสัยทัศน์สำหรับอนาคตประเทศของไทย สอดคล้องกับข้อแนะนำ “Five to Thrive” ตอนนี้ขอให้มาร่วมเปลี่ยนวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันนี้ไปสู่การปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีเชื่อในการสนับสนุนของทุกคนว่าจะช่วยยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯไปอีกระดับ รัฐบาลพร้อมรับฟังและทำงานร่วมกัน เช่นที่นายกรัฐมนตรีเคยพูดเสมอว่า สิ่งใดควรทำ จะต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ (what should be done, will be done)
สว.ยันคำร้องครบถ้วน/‘พิชิต’ผิดชัดเจน
นายประพันธ์ คูณมี หนึ่งใน40สว.ที่ลงชื่อถอดถอนนายกฯเปิดเผยว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้ผู้ร้องชี้แจงกรณีร้องถอดถอนเพิ่มเติมต่อศาล ทางกลุ่มจะดูว่าศาลต้องการให้ผู้ร้องชี้แจงประเด็นใดบ้าง และเมื่อทราบประเด็นแล้วก็จะมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องในประเด็นนั้นๆไปชี้แจง แต่เชื่อว่าคำร้องมีรายละเอียดที่ชัดเจนแล้ว โดยเฉพาะพฤติการณ์ตามคำร้อง ในมาตรา160 (4) และ (5) เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะรายละเอียดอยู่ในคำสั่งศาลฎีกาที่วินิจฉัยพฤติการณ์ของนายพิชิตไว้อย่างละเอียดและทุกขั้นตอนว่ามีการมอบของให้เจ้าหน้าที่ใครบ้าง อย่างไร และเจ้าหน้าที่ได้นำของมาคืนและศาลฎีกานอกจากสั่งลงโทษเรื่องละเมิดอำนาจศาล ยังมอบให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความฐานให้สินบนเจ้าพนักงานและผู้ตัดสินคดีเป็นประธานศาลฎีกาในขณะนั้น รวมถึงรองประธานศาลฎีกาในขณะนั้น ได้ชี้ความผิดแล้ว หากศาลจะถามก็คิดว่าน่าจะเป็นประเด็นอื่น
เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.ชัชวาลย์สุขสมจิตร์ สว.กล่าวว่า ได้มีการเตรียมรายชื่อไว้แล้ว หากศาลรัฐธรรมนูญต้องการให้ไปชี้แจงในประเด็นใด
‘โรม’เหน็บขาดมือกม.-ไม่พร้อมบริหาร
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีว่า ต้องมองว่าที่ผ่านมาคืออะไร ซึ่งมีข้อท้วงติงมาตลอดของปัญหาด้านกฎหมายต่างๆแสดงว่าสิ่งที่หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าพรรคเพื่อไทยขาดมือกฎหมาย ขาดคนที่จะให้ความเข้าใจในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อผลักดันนโยบาย
“มันอาจจะขาดจริงๆเป็นเรื่องที่เข้าใจถูกต้อง สุดท้ายไม่รู้จะเอาใคร ต้องไปยืมมือนายวิษณุเหมือนเดิม พูดง่ายๆ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ยืมมือนายวิษณุ รัฐบาลนายเศรษฐาก็ยืมมือนายวิษณุ สุดท้ายไหนบอกว่ามีความพร้อมในการบริหารงานบริหารประเทศ ผมมองว่าเป็นเรื่องของเหล้าเก่าในขวดใหม่ ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม ในเรื่องนี้ทำให้เห็นว่ารัฐบาลนายเศรษฐาขาดเอกภาพ ไม่มีความพร้อมในด้านการบริหารงานจริงๆ สุดท้ายต้องใช้บริการในวิษณุที่มีส่วนช่วยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเป็นแบบนั้น”นายรังสิมันต์ ระบุ
หวังช่วยต่อสู้ดคดีถูกสว.ยื่นถอดถอน
เมื่อถามว่า มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาลหรือไม่ที่ขาดมือกฎหมาย นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เกิดคำถามว่าที่ผ่านมา ปัญหาข้อกฎหมายมีอยู่จริงหรือไม่ ถือเป็นประเด็น แต่ที่เป็นประเด็นใหญ่ คือ รัฐบาลนายเศรษฐา โดยเฉพาะนายเศรษฐาวิพากษ์วิจารณ์นายวิษณุในหลายโอกาส แต่ถึงเวลาทำเหมือนว่า เรื่องเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น ไปบอกว่าเป็นเรื่องของความไม่ใช่เรื่องของคน ตนบอกว่าเป็นวิธีการที่จะหลบเลี่ยง สุดท้ายอาจจะไม่ใช่ ให้มาดูแค่เรื่องกฎหมายในคณะรัฐมนตรี แต่นายเศรษฐาจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ ตนเองกำลังถูกแขวนอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตนพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าสนับสนุนในสิ่งที่นายเศรษฐาโดน การเมืองควรแก้ด้วยการเมือง แต่ปัญหาคือจุดนั้นหรือไม่ที่ทำให้ต้องเชิญนายวิษณุเข้ามา ตนเชื่อว่าสังคมจำนวนไม่น้อยก็จะตั้งคำถามว่า การที่ นายวิษณุ เข้ามาคือมีภารกิจทำให้ นายเศรษฐา รอดจากคดีในศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อถามย้ำว่า มองว่าไม่ใช่ให้นายวิษณุเข้ามาเพื่อกลั่นกรองกฎหมายก่อนเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าทางปฏิบัติจะทำได้แค่ไหน เพราะนายวิษณุก็สุขภาพไม่ดี ซึ่งอาจจะช่วย แต่ช่วยร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ ตนตอบไม่ได้
เหล้าเก่าขวดใหม่-ไม่ไว้ใจ’ชูศักดิ์’
“แต่สิ่งที่มองคือ นายเศรษฐา ไม่ไว้วางใจฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยอีกแล้ว จึงทำให้ไม่รู้จะไปหาทางออกอย่างไรจึงต้องไปยืมเนติบริกรที่มีผลงานในหลายรัฐบาล คือนายวิษณุ พูดง่ายๆ ก็คือการันตีของแทร่”นายรังสิมันต์ ย้ำ เมื่อถามว่า จะกระทบกับเครดิตของพรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐาหรือไม่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องดูว่านายเศรษฐายังมีเครดิตมากแค่ไหน ตนขอให้ชวนคิด ตนไม่อยากจะให้ความเห็นตรงนั้นมาก วันนี้สังคมก็มองรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจับมือกับหลายพรรคการเมืองที่เคยร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มาก่อนและเป็นพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยซ้ำ
“พอมาวันนี้มาตั้งนายวิษณุ แม้จะไม่ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี แต่ต้องยอมรับว่ามีบทบาทคล้ายรองนายกรัฐมนตรี ทำให้คนในสังคมมองว่า คนในรัฐบาลนี้ไม่ต่างจากรัฐบาลเดิมสักเท่าไหร่ แล้วที่เคยพูดว่ามีความพร้อมในการบริหารงาน ยังพร้อมบริหารงานอยู่หรือไม่ สุดท้ายจะเกิดคำถามเรื่องความเป็นเอกภาพภายในพรรคเพื่อไทยว่า นายเศรษฐา ไม่เชื่อมือนายชูศักดิ์ ศิรินิล มือกฎหมายของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ จึงต้องนำนายวิษณุเข้ามาเป็นเนติบริกร”นายรังสิมันต์ กล่าว
ศิษย์เอกวอนวางมือ-มุ่งรักษาสุขภาพ
นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีว่าในฐานะที่ตนเป็นนิสิตเก่าคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือเป็นลูกศิษย์ของนายวิษณุซึ่งตนสอบได้คะแนน 98 คะแนนจาก 100 คะแนน ในวิชากฎหมายของนายวิษณุ จนนายวิษณุให้เกียรติโดยเอาชื่อของตนไปใส่ในปัญหาตุ๊กตา ในตำรากฎหมายที่นายวิษณุแต่งเล่มหนึ่ง และในสมัยนั้นตนก็เป็นกรรมการนิสิตคณะนิติศาสตร์ โดยนายวิษณุเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และตนได้ปรึกษากับนายวิษณุบ่อยครั้ง
“เมื่อวานนี้(30พ.ค.67)ผมเห็นท่านในจอสื่อ ผมก็อดเป็นห่วงสุขภาพท่านไม่ได้ ผมก็ไม่ทราบจะหาช่องทางติดต่อท่านทางใด เบอร์โทรหรือไลน์ท่าน ผมก็ไม่มี จึงขอฝากสื่อมวลชนไปถึงอาจารย์วิษณุ ในฐานะศิษย์เก่าของท่าน ว่า ขอร้องให้อาจารย์วิษณุปล่อยวางทางการเมืองเสียที ในโลกนี้ทุกเรื่องไม่มีใครที่ขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้ ต้องมีคนรุ่นใหม่แทนจนได้ อาจารย์วิษณุอย่าไปเชื่อหากมีคนมาบอกท่านว่ารัฐบาลนี้ขาดท่านไปไม่ได้” นายจุลพงศ์ กล่าวและว่า นายวิษณุ ชอบยกคำบาลีในพระพุทธศาสนามาให้ข้อคิดแก่ผู้อื่น ตนจึงขอยกเรื่องที่ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยตอบคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่เมื่อคนย้อนนึกถึงอดีตแล้ว จะทำให้คนเสียใจมากที่สุด พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า สิ่งที่ทำให้คนเสียใจมากที่สุดคือการที่คนคิดว่าตนเองนั้นมีเวลา “เวลาของอาจารย์วิษณุยังไม่หมด แต่ผมขออนุญาตเรียนไปยังอาจารย์วิษณุว่าแม้ท่านจะลงเรือแป๊ะมาแล้ว ตอนนี้ผมไม่ได้ห่วงว่าท่านจะล่มไปพร้อมกับเรือนิด แต่ผมเป็นห่วงสุขภาพของท่าน จึงขอให้อาจารย์วิษณุใช้เวลาในปัจจุบัน ไปรักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะดีกว่า และหาความสุขเดินทางท่องเที่ยวที่ท่านชอบตามวัยของท่าน” นายจุลพงศ์ กล่าว
นายกฯพร้อมตอบคำถามในสภาฯ
ช่วงบ่าย ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าก่อนหน้านี้นายกฯไปทาบทามให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี ว่า อย่างที่ตนเรียนการคุยกันระหว่างตนกับท่านให้อยู่ระหว่างตนกับท่านดีกว่า ซึ่งตนได้ไปหาท่านจริง ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลต้องหารองนายกรัฐมนตรี เข้ามาเพิ่มหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คนละประเด็น ไม่เกี่ยว เมื่อถามถึงกรณีที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล มองว่าการที่นายกฯเชิญนายวิษณุ มาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย เป็นเพราะไม่เชื่อมั่นทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ใช่หรือไม่ ซึ่งยังมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นมือกฎหมาย โดย นายกฯ ย้อนถามว่า “ถามผมหรือถามใคร” ก่อนกล่าวอีกว่า แต่ก็เป็นเรื่องของเขาไป ถ้าถามตนในสภาก็จะตอบในสภา แต่ถ้าเป็นคอมเม้นท์แบบนี้ ตนไม่ขอตอบ ถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัว เมื่อถามว่าให้นายวิษณุ มาดูกฎหมายทั่วไปใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เป็นไปตามที่คำสั่งได้ออกไปทุกอย่าง
“ธรรมนัส”มั่นใจช่วยงานรัฐบาลได้
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย เข้ามาช่วยงานส่งผลดีต่อรัฐบาลหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนกับ นายวิษณุ มีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ตนมั่นใจในตัวท่าน และในรัฐบาลที่แล้วที่ตนเป็นรัฐมนตรีก็เป็นคนหนึ่งที่ปรึกษา นายวิษณุ มากที่สุด ในเรื่องข้อกฎหมาย จึงมีความคุ้นเคย และเชื่อมั่นในตัวท่าน เมื่อถามว่า การที่ดึงเข้ามามองหรือไม่ว่า ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยไม่มีประสิทธิภาพ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอื่น ขอวิพากษ์วิจารณ์เฉพาะเรื่องส่วนตัวของตนกับ นายวิษณุ
ไม่รู้’บิ๊กป้อม’รอส้มหล่นนั่งนายกฯ
ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการนัดรับประทานอาหารร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล โดยที่พรรคพลังประชารัฐเป็นเจ้าภาพ ว่า ตนได้เตรียมสถานที่เรียบร้อยแล้ว จากนี้คือรอกำหนดวันโดยต้องดูวันที่นายกรัฐมนตรีว่าง ซึ่งคาดว่าจะเป็นในช่วงเดือนมิ.ย. เมื่อถามว่า จะมีการเชิญพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพปชร.มาร่วมด้วยหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า อันนี้เดี๋ยวค่อยว่ากัน เมื่อถามว่า มีกระแสข่าว พล.อ.ประวิตร อาจหวังส้มหล่นหากนายกฯถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กระทำขัดรัฐธรรมนูญ ตามที่สว.ยื่นเรื่องถอดถอน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนทำงานแต่กับกระทรวงเกษตรฯและแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนแทบไม่มีเวลาที่จะมาคิดเรื่องพวกนี้ เมื่อถามว่าได้มีการประเมินสถานการณ์การเมืองหรือไม่ หลังถูกสว.ยื่นถอดถอนนายกฯ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ผมอยู่แวดวงการเมืองปีนี้เป็นปีที่ที่31แล้ว ผมเห็นอะไรมาเยอะ“
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี