‘ก้าวไกล’กาง9ข้อสู้คดียุบพรรค
‘พิธา’ดิ้นหนีตาย
ปักหลักโต้‘กกต.-ศาลรธน.’
เร่งยุบพรรคไม่ชอบด้วยก.ม.
ประธานกกต.สอนมวยก.ก.
ยื่นยุบไม่ต้องแจ้งผู้ถูกร้อง
หมูไม่กลัวน้ำร้อน“พิธา”ดิ้นสู้คดียุบพรรคก้าวไกล กางข้อก.ม.9 ข้อ ชี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณา คำร้องกกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยันไม่มีเจตนาล้มล้าง -เป็นปฏิปักษ์ ลั่นหนักแน่นช่วยพรรคเต็มที่“อิทธิพร”ตอบโต้กลับ“พิธา”ชี้กกต.ร้องศาลยุบพรรค ไม่ต้องแจ้ง’ก้าวไกล’เหตุมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นข้อเท็จจริง หาเสียงแก้ม.112 ดิ้นไม่หลุด
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 9 มิถุนายน ที่พรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล แถลงข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ว่า จุดประสงค์ของการแถลงเพื่อเน้นข้อเท็จจริงของข้อกฎหมายและคดี เพื่อสอดคล้องกับสิ่งที่เป็นข้อกังวลของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะแบ่งเป็น 9 ข้อต่อสู้ 3 หมวดหมู่ โดยหมวดหมู่ที่ (1) เขตอำนาจและกระบวนการ 1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้, 2. กระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ก้าวไกลดิ้นสู้คดีศาลรธน.จ่อยุบพรรค
หมวดหมู่ที่ (2) ข้อเท็จจริง 3.คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 67 ไม่ผูกพันการวินิจฉัยคดีนี้ ,4.การกระทำที่ถูกกล่าวหา ไม่ล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ ,5.การกระทำตามคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 67 ไม่ได้เป็นมติพรรค หมวดหมู่ที่ (3)สัดส่วนโทษ, 6.โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีวิธีแก้ไขอื่น ,7.ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ,8.จำนวนปีในการตัดสิทธิทางการเมือง ต้องได้สัดส่วนกับความผิด และ 9.การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับชุดกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา
เมื่อถามว่า ในข้อต่อสู้มีข้อไหนที่ไม่มั่นใจ นายพิธา กล่าวว่า มั่นใจทุกข้อทั้ง 9 ข้อ ซึ่งแต่ละข้อก็เหมือนด่าน บันไดที่ใช้ต่อสู่ตั้งแต่ของเขตอำนาจของศาล จนถึงบทของลงโทษกรรมการบริหาร แต่เรายังเชื่อว่าทั้งเจตนา และการกระทำของสส.ในการเข้าชื่อแก้กฎหมาย ไม่ได้เป็นการล้มล้าง และไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ รวมถึงการกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นนายประกัน ก็สันนิฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน การที่มีผู้ต้องหามาตรา 112 เป็นสมาชิกพรรค เป็นสส.ก็ยังไม่สิ้นสุดคดี รวมถึงการแสดงออกเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ก็กระทำทั่วไปโดยนักการเมืองในตอนนั้น โดยสภาพบังคับที่มีเรื่องเกี่ยวข้องอยู่แล้ว
ไม่มีเจตนาหาเสียงล้มล้างการปกครอง
และสุดท้ายการกระทำทุกอย่างเป็นเรื่องของรายบุคคลที่ขยุมรวมกันเป็นข้อกล่าวหาไม่ได้มาจากมติพรรค ไมได้เป็นเรื่องของนิติบุคคล แต่เป็นเรื่องของปัจเจก ไม่ได้มีความเห็นที่ออกมาจากกรรมการบริหารว่าทั้งหมดเป็นการกระทำของพรรค ต้องแยกระหว่าง่บุคคลธรรมดา กับนิติบุคคล นั้นต่างกัน ซึ่งที่มีเป็นมติของพรรคออกมาคือการบรรจุเป็นนโยบายหาเสียง แต่ก็ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้ เพราะกกต.เองก็อนุญาต ซึ่งหลักเดียวกับตอนที่ยุบพรรคไทยรักษาชาติเองก็ไม่ได้มีจดหมายเตือน ไม่มีคำถามมาว่านโยบายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรอย่างที่พรรคอื่นโดน ยืนยันตรงนี้ว่าไม่ได้มีเจตนา และไม่มีข้อกฎหมายที่เอาผิดทั้ง 44 คนที่เข้าชื่อในการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง และไม่ได้เข้าสภา และถึงแม้จะได้เข้าสภา ระบบนิติบัญญัติก็มีการเช็คแอนด์บาลานซ์เบรคในตัวเองอยู่ จะเบรคโดยกกต.ก็ได้ จะเบรคโดยสภาในการโหวตวาระ 1,2,3 หรือขั้นสว. และยังมีเวลาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในตอนสุดท้าย เพราะฉะนั้นไม่มีความเร่งด่วนสำคัญอะไรที่ต้องใช้มาตรการรุนแรงอย่างนี้
‘อิทธิพร’ยันส่งเรื่องให้ศาลชอบแล้ว
วันเดียวกัน นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์ที่สโมสรตำรวจ วิภาวดีรังสิต สถานที่เลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ระดับอำเภอ เขตหลักสี่ ภายหลัง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล แถลงแนวทางการต่อสู้คดียุบพรรค ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และมีการกล่าวถึงการที่ กกต. ยื่นคำร้องโดยไม่แจ้งให้ผู้ถูกร้องทราบ ตามระเบียบของ กกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง ปี 2566 ข้อ 6 โดย นายอิทธิพร ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบสืบสวนสอบสวน ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น (ไม่ต้องให้ทราบก่อน)
ส่วนการยื่นคำร้องโดยมีหลักฐานเดียว คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำเกี่ยวกับการหาเสียงด้วยนโยบายยกเลิกแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น นายอิทธิพร ตอบว่า ที่จำเป็นต้องส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ เพราะกฎหมายมาตราที่เกี่ยวข้องระบุว่า เมื่อ กกต.มีหลักฐานอันควรเชื่อว่ากระทำผิด คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากไม่มีคำวินิจฉัยดังกล่าวก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามระเบียบ กกต.
‘เศรษฐา’ทัวร์เหนือ-เยี่ยมช้างลำปาง
เวลา 10.00น.ที่ จ.ลำปาง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมโรงพยาบาลช้าง การสาธิตการทำสมุนไพรบำรุงกำลังช้าง และการสาธิตการทำผลิตภัณฑ์จากมูลช้าง ที่โรงพยาบาลช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ต.เวียงตาล อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง โดยมี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ร่วมคณะ รวมถึงมีนายธนาธร โล่ห์สุนทร สส.ลำปาง เขต 2 พรรคเพื่อไทย มาให้การต้อนรับ
เมื่อมาถึง ทางศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ได้นำช้าง 8 เชือกมาต้อนรับนายกฯ โดยนายกฯได้ให้อาหารเช่น กล้วย อ้อย ฟักทอง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนรักนายกเศรษฐา สวมเสื้อยืดสีขาวสกรีนข้อความ “รักนายกเศรษฐา” พร้อมสกรีนลายเซ็นนายกฯ มาร่วมต้อนรับนายกฯด้วย โดยช่วงหนึ่งได้ตะโกนรักนายกฯเศรษฐา
นายกฯยังได้ดูการปฐมพยาบาลช้าง พร้อมรับฟังการดำเนินงาน ก่อนเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์มูลช้าง เช่น ปุ๋ยมูลช้าง ผลิตภัณฑ์กระดาษมูลช้าง เป็นต้น ก่อนที่พังสมศรี อายุ 11 ปี ได้มอบกระเป๋าผ้า ใส่ในกล่องที่ทำจากมูลช้าง ซึ่งพังสมศรีวาดลวดลายบนกระเป๋าผ้าดังกล่าวเอง มอบให้นายกฯเป็นที่ระลึก
ต่อจากนั้น นายกฯเยี่ยมพลายศักดิ์สุรินทร์ ช้างที่มีคชลักษณ์โดดเด่น ซึ่งเดินทางกลับมาประเทศไทย หลังถูกส่งไปเป็นทูตสันถวไมตรีที่ศรีลังกาถึง 22 ปี โดยศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยได้เปิดให้เข้าเยี่ยมพลายศักดิ์สุรินทร์ในวันเดียวกันนี้เป็นวันแรก ซึ่งนายกฯได้สอบถามถึงการดูแล ก่อนถ่ายภาพกับพลายศักดิ์สุรินทร์ และนายกฯยังได้เยี่ยมพังก้ำซึ่งเป็นช้างที่มีอาการป่วยอีกด้วย
นายกฯชวนกิน’ข้าวแต๋นน้ำแตงโม’
เวลา 12.00น.ที่ร้านข้าวแต๋นทวีพรรณ อ.เกาะคา จ.ลำปาง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางเข้าเยี่ยมชมร้านข้าวแต๋นทวีพรรณ โดยมีนายชาญยุทธ อินทร์พรหม เจ้าของร้าน พร้อมบิดาและมารดา คือ นายทวีวรรณ อินทร์พรหม อายุ 85 ปีและนางพรรณี อินทร์พรหม อายุ 79ปี รอให้การต้อนรับ โดยมีประชาชนถือป้ายต้อนรับพร้อมข้อความระบุว่า ชาวตำบลนาแก้ว อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ยินดีต้อนรับท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ, ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลนาแก้ว อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ถือป้ายยินดีต้อนรับท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ และ เทศบาลตำบลนาแก้ว ยินดีต้อนรับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ทั้งนี้ทันทีที่นายกฯ เดินทางถึง ชาวบ้านที่มารอต้อนรับ มอบดอกกุหลาบ และตะโกนว่า “ลำปางยินดีต้อนรับ”
จากนั้นนายกฯ เยี่ยมชมการสาธิตขั้นตอนการทำข้าวแต๋นน้ำแตงโม ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นจนเกิดเป็นข้าวแต๋น การขึ้นรูปข้าว นำไปอบแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ หลังจากนั้นนำไปทอดและนำอบไล่น้ำมัน ก่อนจะแต่งหน้าด้วยรสชาติต่างๆ จนกระบวนการสุดท้ายคือ การบรรจุภัณฑ์
ก่อนที่นายกฯ จะชิมข้าวแต๋นรสชาติต่างๆ โดยนายกฯ ชิมข้าวแต๋นหน้าสาหร่าย พร้อมบอกว่ารสชาติดีเหมือนสาหร่ายญี่ปุ่น ก่อนจะถ่ายภาพร่วมกับพนักงานร้านข้าวแต๋นอย่างเป็นกันเอง
ชิมผัดกะเพราเนื้อระดับมืออาชีพ
ต่อมาเวลา 12.45 น. นายกฯ เดินทางถึงร้านครัวเนื้อหอม ชมการสาธิตการทำกะเพราเนื้อ (แชมป์ World Kaphrao Thailand Grand Prix 2023) และชิมกะเพราเนื้อ เป็นอาหารมื้อกลางวัน โดยมีการขึ้นป้ายต้อนรับระบุว่า “ชุมชนถาวรสุข ยินดีต้อนรับฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน”
จากนั้นเวลา 13.25 น. นายกฯ ทวีตข้อความผ่าน X ระบุว่า ชวนชิม ‘ข้าวแต๋นน้ำแตงโม’ และ ‘กะเพราเนื้อ’ Must Eat ของ ลำปาง มาลำปางทั้งที เลยมาขอดูการผลิต และอุดหนุนข้าวแต๋นน้ำแตงโมของโปรดคุณแม่ผม ถึงที่ร้านข้าวแต๋นทวีพรรณ รสชาติเค็ม ๆ มัน ๆ หวาน ๆ กรอบ ๆ ทานเล่นได้ไม่เบื่อเลย ซื้อกลับไปฝากคุณแม่เยอะเลย ส่วน ‘กะเพราเนื้อ’ ร้านครัวเนื้อหอม นั้น เพิ่งคว้าแชมป์ World Kaphrao Thailand Grand Prix 2023 มาหมาดๆจึงถือเป็น‘ผัดกะเพราที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย’ ณ ตอนนี้ ผัดกะเพรา lover ทั้งหลายพลาดไม่ได้
มั่นใจไตรมาส4ศก.ไทยโตแน่นอน
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงผลสำรวจของนิด้าโพล ที่ระบุว่าประชาชนไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ว่า ตรงนี้ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะทางสำนักงานสถิติแห่งชาติก็เพิ่งเผยผลสำรวจออกมาว่าตัวเลขออกมาใช้ได้ แต่อีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลังนิด้าโพลก็มีผลสำรวจออกมาในลักษณะย้อนแย้ง แต่ตนก็ยินดีว่าเสียงที่เราควรได้ยิน ไม่ใช่เฉพาะเสียงชื่นชมอย่างเดียว ควรจะเป็นเสียงที่มีการติด้วย แต่เราก็ต้องดูว่าวิธีการทำสถิติ และการไปเก็บตัวเลขเป็นอย่างไร ครบทุกหมวดทุกเหล่าหรือเปล่า ถามเกษตรกรหรือเปล่า ตนคิดว่าก็ต้องลงในรายละเอียดด้วย
“สมมุติว่ามีความรู้สึกว่าไม่พอใจ ผมก็คิดว่าทุกคนที่ยืนอยู่กับผมตรงนี้ เรามีความเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน และเราก็น้อมรับในผลโพลที่ออกมา เราเองก็ต้องพยายามทำให้ดีขึ้น”
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจใช่หรือไม่ว่าในไตรมาส 4 ตัวเลขเศรษฐกิจ หรือจีดีพีของประเทศจะดีขึ้น นายกฯ กล่าวว่า มั่นใจ เมื่อถามต่อว่า แต่ภาคเอกชนเป็นห่วงภาคการเมืองจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เหมือนทุกครั้งที่ตนให้สัมภาษณ์ เรื่องของการเมืองนั้นก็อยู่ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจไทย รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหมด แต่หน้าที่ของผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง ที่เป็นฝ่ายบริหารก็ต้องทำหน้าที่บริหารต่อไป และพยายามลดทอนในเรื่องของความขัดแย้งหรือการใช้คำพูดอะไรที่เป็นการท้าทาย ตนเชื่อว่าทุกคนทราบดีว่าการเมืองคืออะไร แต่ก็ต้องไม่ให้เรื่องเหล่านี้มาบั่นทอน แต่ละคนมีหน้าที่อะไรก็ขอให้ทำกันไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดถ้าเราเอาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เชื่อว่าถนนการเมืองทุกเส้นก็วิ่งสู่ความต้องการของพี่น้องประชาชน ใครจะมีวิธีการอย่างไรก็น้อมรับและยินดีรับฟัง
โพล9เดือนปชช.ไม่พอใจผลงานรบ.
วันเดียวกัน ‘นิด้าโพล’ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจประชาชน พบส่วนใหญ่ไม่พอใจผลงาน9เดือน“รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา”จากการสำรวจเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ในรอบ 9 เดือน พบว่า ร้อยละ 34.35 ไม่ค่อยพอใจ เพราะการบริหารจัดการในเรื่องต่าง ๆ มีความล่าช้า และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากเดิม ร้อยละ 31.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย เพราะไม่มีความก้าวหน้าในการทำงานและไม่สามารถทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ร้อยละ 25.19 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ เพราะมีความพยายามผลักดันนโยบายต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และเห็นผลงานที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหา ร้อยละ 7.40 ระบุว่า พอใจมาก เพราะมีความตั้งใจในการทำงาน ช่วยเหลือประชาชน ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น
ด้านความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ร้อยละ 35.95 ไม่เชื่อมั่นเลย เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น ผลงานยังไม่ชัดเจน แก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ร้อยละ 35.04 ไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะการทำงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ร้อยละ 22.14 ค่อนข้างเชื่อมั่น เพราะมีประสบการณ์ในการทำงาน มีทักษะด้านการบริหาร สามารถทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นได้ ร้อยละ 5.42 เชื่อมั่นมาก เพราะรัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา มีการบริหารที่ดีสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ ร้อยละ43เชื่อ’เศรษฐา’ยังนั่งนายกฯ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ภายในระยะเวลา 2เดือน ร้อยละ43.44 นายกฯ เศรษฐา ยังคงอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม ร้อยละ 15.65 พรรคร่วมรัฐบาลยังคงเหมือนเดิม ร้อยละ15.50 จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ10.92 จะมีการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ10.46 จะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แต่ยังคงมาจากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ6.56 จะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ คนใหม่จะมาจากพรรคฝ่ายค้าน ร้อยละ6.11 จะมีการสลับขั้วทางการเมือง เปลี่ยนรัฐบาล ร้อยละ 4.58 จะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ คนใหม่จะมาจากพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ร้อยละ 3.21 สส.ฝ่ายรัฐบาลจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.05 จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลจะลดลง ร้อยละ2.60 จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นและสส.ฝ่ายรัฐบาลจะลดลงในสัดส่วนที่เท่ากัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี