“สรรเพชญ”ซัดรัฐบาลกู้เงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หวั่นก่อหนี้ก้อนใหญ่ในอนาคต สวนทางนโยบายคนไทยมีกินมีใช้ ที่เคยประกาศไว้ตอนหาเสียงด้าน “ชูศักดิ์”ฝากสังคม อย่าด่วนรีบสรุปนิรโทษกรรมรวมคดี ม.112 หรือไม่ เหตุอาจวิจารณ์เกินหน้าที่-ความตั้งใจ กมธ.ย้ำ ไม่อยากให้การตัดสินใจนำไปสู่ความขัดแย้งมากกว่าที่เป็นอยู่ รทสช.พร้อมพิจารณางบฯ’68 มั่นใจผ่านสภาฯแน่ยืนยันยึดประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ดักคอฝ่ายค้าน อภิปรายงบไม่ใช่ซ้อมซักฟอกรัฐบาล ขอเลี่ยงวาทกรรมรุนแรง แนะใช้เวลาคุ้มค่า สร้างสรรค์
เมื่อวันที่ 16มิถุนายน2567 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ข้อสังเกตต่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่กำลังจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวันที่ 19 – 21 มิถุนายน 2567 นี้ โดยกล่าวว่า แม้ว่าเอกสารร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ซึ่งมีจำนวนกว่า 10,000 หน้า จะส่งมาให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ศึกษาทำความเข้าใจในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะบรรดาเอกสารต่าง ๆ พึ่งมาถึงรัฐสภาและให้สมาชิกฯ ไปรับเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาซึ่งจะทำให้ทุกคนมีเวลาในการพิจารณาค่อนข้างน้อย แต่ตนมีความเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นลำดับต้น ๆ เพราะเกี่ยวเนื่องกับประชาชนโดยตรง อีกทั้งการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจของรัฐบาลในการทำหน้าที่ตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ในรัฐสภา
ซัดรบ.กู้เงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์
นายสรรเพชญ กล่าวต่อว่า จากการที่ตนได้ศึกษาดูเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 แล้ว เห็นว่างบประมาณดังกล่าวไม่ค่อยแตกต่างอะไรกับงบประมาณในปีที่ผ่าน ๆ มามากนัก ทั้งที่รัฐบาลชุดนี้มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณแทบจะ 100% สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับการจัดสรรงบประมาณในปี 2568 ที่มีการตั้งวงเงินกว่า 3.7 ล้านล้านบาท คือเรื่องของการกู้ขาดดุลที่มีการกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณถึง 865,700 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์และเกือบเต็มเพดานกรอบวงเงินที่รัฐบาลสามารถกู้ได้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และเมื่อพิจารณาที่ประมาณการสถานะการคลังระยะปานกลางรัฐบาลมีการประมาณการว่าในปี 2568 จะมีรายรับประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท และปี 2569 จะมีรายรับประมาณ 3 ล้านล้านบาท
“สิ่งที่น่ากังวลคือรัฐบาลจะมีรายได้ตามเป้าจริงหรือไม่ เพราะในปีที่ผ่าน ๆ มามักจะมีรายได้ไม่ตามเป้าแล้วจะทำให้รัฐบาลต้องกู้เพื่อชดเชยเงินคงคลังสูงขึ้นไปอีก ยิ่งกู้มากรัฐบาลก็เสี่ยงต่อการกู้ชนเพดานอันจะเกิดผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งจากการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีความจริงใจและไม่กล้าที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ยังทำงบประมาณแบบเดิม ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งสวนทางกับนโยบายที่จะให้คนไทยมีกิน มีใช้ ที่โฆษณาตอนหาเสียง” นายสรรเพชญ กล่าว
เปรียบเสมือนสูบเลือดปชช.
นายสรรเพชญ กล่าวในงบประมาณปี 2568 นี้สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนคือรัฐบาลมีการตั้งค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนกว่า 152,700 ล้านบาทในงบกลาง เพื่อทำนโยบาย Digital Wallet ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งตนไม่ได้ติดใจอะไรหากรัฐบาลต้องการที่จะทำนโยบายนี้ เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ถนัดในการทำนโยบายโปรยเงินแบบ Helicopter Money ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะหาเงินใหม่จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้าในประเทศเพื่อทำนโยบาย แต่รัฐบาลกลับใช้วิธีการแบบทางลัดโดยการกู้เงินเพื่อทำนโยบายดังกล่าว เสมือนเป็นการสูบเลือดของประชาชนดังที่ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม เคยกล่าวไว้ว่า สิ่งที่รัฐบาลทำนั้นอธิบายง่ายๆ มันก็คือ หมอบอกว่าคนไข้ว่าต้องการเลือดใหม่ แต่แทนที่จะหาเลือดใหม่มาอัดฉีดให้กับคนไข้ แต่สิ่งที่หมอทำคือ “สูบเลือดออกจากคนไข้ แล้วนำมาฉีดคืนให้กับคนไข้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
เหน็บเก่งกู้-ล้วงเงินจากที่อื่น
นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องให้ความกระจ่างกับประชาชนคือ เงื่อนไขการใช้จ่ายเงินโครงการดิจิทัลวอลเล็ทสามารถซื้อโทรศัพท์ได้หรือไม่ เพราะถ้าหากซื้อได้ก็อาจเป็นการเอื้อนายทุนค่ายมือถือรายใหญ่ที่ขายเครื่องพร้อมแพคเกจให้กับประชาชนโดยใช้เงินจากโครงการของรัฐบาล
“งบประมาณปี 2568 นี้ สิ่งที่รัฐบาลแสดงความสามารถให้เห็นได้ชัดเจนคือความสามารถในการกู้เงินและไปล้วงเงินจากที่อื่น ๆ มาได้ดีกว่าการหาเงินใหม่ ๆ เข้ามาในระบบ ซึ่งจนวันนี้แล้วรัฐบาลยังตอบไม่ได้ว่าจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้คืนหรือชดเชยคืนเงินที่เอามาทำนโยบาย Digital Wallet นี้เลย” นายสรรเพชญกล่าวในตอนท้าย
‘ชูศักดิ์’แจงคืบหน้าพ.ร.บ.นิรโทษฯ
นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาแนวทางการตราร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าของกมธ.ในการพิจารณาศึกษาแนวทางการตราร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า เท่าที่ตนติดตามพบว่าเหมือนมีความพยายามจะรีบสรุปว่าการนิรโทษกรรมที่จะเกิดขึ้นนั้น จะรวมคดีที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่นั้น ตนขอย้ำว่าในฐานะ กมธ. เรามีหน้าที่ในการศึกษาหาแนวทางการตรากฎหมาย ศึกษาข้อดีและข้อเสียในทางสังคม ในทางวิชาการและในทางที่ประเทศไทยจะสามารถเดินต่อไปได้ โดยปราศจากความขัดแย้งหรือมีความขัดแย้งน้อยที่สุด รวมถึงยังยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้มีหน้าที่ยกร่างพ.ร.บ.
ไม่อยากให้นำไปสู่ความขัดแย้งมากขึ้น
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า หน้าที่สำคัญของกมธ. อยู่ที่การศึกษาว่าควรมีการนิรโทษกรรมการกระทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรจะมีการนิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยหรือไม่ หากมีการนิรโทษกรรมหรือไม่นิรโทษกรรม จะมีผลดีผลเสียต่อสังคมอย่างไรบ้าง หรือจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง เพราะเราไม่อยากเห็นว่าการคิด การศึกษา และการตัดสินใจเรื่องดังกล่าว จะนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมมากไปกว่าที่เป็นอยู่ จึงขอฝากถึงพรรคการเมือง ฝากถึงสังคม ฝากถึงประชาชนให้ช่วยกันคิดหาทางออกของประเทศ ช่วยกันคิดการแก้ไขปัญหาของประเทศ และไม่ควรรีบสรุปว่ากรรมาธิการคิดเช่นนั้นเช่นนี้ เพราะอาจจะเป็นสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์กันจนเกินเลยไปจากหน้าที่ และเจตนาความตั้งใจของกรรมาธิการ จนอาจนำไปสู่ความหลงผิดได้
ชวนชมรายการ‘คุยกับเศรษฐา’
น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความพร้อมของรายการ ‘คุยกับเศรษฐา‘ ซึ่งจะออกอากาศตอนแรกในวันเสาร์ที่ 22 มิ.ย.นี้ ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT 2HD) ว่า เป็นรายการสนทนาวิสัยทัศน์ มุมมอง และแนวทางการทํางานของรัฐบาล โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งรายการดังกล่าวจะมีพิธีกรสลับกันมาทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อสงสัยและข้อคําถามของพี่น้องประชาชนจากแหล่งต่างๆ มาสอบถามโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี ในขณะเดียวกันรายการนี้ยังเป็นเวทีที่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นํารัฐบาล จะได้ชี้แจงข้อเท็จจริง รวมถึงรายงานความคืบหน้าการทํางาน ทำให้พี่น้องประชาชนได้ทราบถึงทิศทางของนโยบาย บทบาทและหน้าที่ของรัฐบาล
น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า โดยในเทปแรกผู้ชมจะได้เห็นนายกรัฐมนตรีในภาพลักษณ์กระฉับกระเฉงทะมัดทะแมง แบบถอดสูทพับแขนเสื้อ พูดคุยกับพิธีกรถึงการทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในบรรยากาศที่เป็นกันเอง โดยในแต่ละเทปจะมีการถ่ายทำในสถานที่ที่แตกต่างกันออกไปตามเนื้อหาที่จะมีการพูดคุยในรายการ เชิญชวนทุกท่านติดตามรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ ซึ่งจะออกอากาศทุกวันเสาร์ที่ 3 ของเดือน ทางสถานีโทรทัศน์NBT เวลา 08.00- 08.30น.โดยจะออกอากาศตอนแรกในวันเสาร์ที่ 22มิ.ย.นี้
รทสช.พร้อมพิจารณางบฯ’68
นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ มีความพร้อมในการร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมานรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19-21 มิถุนายนนี้ ซึ่งการใช้เวลา 3วันถือว่าเพียงพอ รัฐบาลทุกกระทรวงมีความพร้อมชี้แจงงบประมาณ รวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรมและที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมพิจารณางบประมาณ แผ่นดินอย่างรอบคอบ มีความคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ มั่นใจว่า จะผ่านการพิจารณาของสภา เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามกรอบเวลาไม่ล่าช้า
อยากเห็นการอภิปรายสร้างสรรค์
นายธนกร กล่าวต่อว่า อยากเห็นการอภิปรายของฝ่ายค้านเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ รักษาเวลา รักษา ระเบียบการประชุม เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศ หากมีการตรวจสอบและข้อเสนอแนะ สามารถทำได้ตามหลักการ ไม่ใช้อารมณ์ หรือ วาทะกรรมทางการเมือง ตนไม่อยากเห็นการใช้เวทีอภิปรายงบประมาณ เป็นเวทีซักซ้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างที่เคยเกิดขึ้น
“ฝากไปถึงฝ่ายค้าน ขอให้ใช้เวลาอภิปรายงบ 68 อย่างคุ้มค่า สร้างสรรค์ อยู่ในกรอบตามวาระ ไม่ใช่ ใช้เวทีสภาซ้อมซักฟอกรัฐบาลเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้วาทกรรมที่รุนแรง เลี่ยงการสร้างคอนเทนท์ดราม่าเพื่อเอาไปลงในโซเชียล ขอให้ยึดผลประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่คิดตีกินทางการเมือง” นายธนกร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี