เศรษฐารับแจก1หมื่นยังถูกกังขา
เมิน‘เจ๊งกับเจ๊ง’
แค่วาทกรรมการเมืองตอบโต้กัน
‘ก้าวไกล’ขอแบ่งงบ2หมื่นล้าน
นำไปพัฒนาการศึกษาเยาวชน
“เศรษฐา” ยอมรับแจก “เงินดิจิทัล 1 หมื่น” ยังเป็นข้อกังขาจะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร ย้ำต้องบาลานซ์การลงทุนระยะ“สั้น-กลาง-ยาว”บวกการลงทุนข้ามชาติส่งผล“จีดีพี”โต-ใช้หนี้ได้ เมินครหา“เจ๊งกับเจ๊ง”แค่วาทกรรมการเมืองตอบโต้กันสภาฯถกงบฯปี’68 วันที่สอง“ฝ่ายค้าน”ชำแหละเดือด งบ กยศ. ยกตัวเลขตอกหน้าส่อหลุดอีก 2.8 ล้านคน อัดรบ.ไม่จริงใจแก้ปัญหา-กยศ.ของบ 1.9หมื่นล้านให้แค่800ล้าน-งบปี68ขอ5พันล้าน ไม่ได้สักบาทเดียว หวั่นเด็กกู้ยืมลำบาก-ไร้เงินเรียนต่อ
เมื่อเวลา 09.25น.วันที่ 20 มิถุนายน 2567 ที่อาคารรัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2568 เป็นวันที่สอง
นายกฯรับแจกเงินดิจิทัลยังเป็นข้อกังขา
โดยนายกฯให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านที่ดูเหมือนยังไม่มั่นในเรื่องโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต10,000บาทของรัฐบาลว่าตนคิดว่าได้ชี้แจงครบแล้วในเรื่องของดิจิทัลวอลเล็ตแต่คิดว่าเป็นข้อกังขามากกว่าว่าดิจิทัลวอลเล็ตจะมาช่วยเศรษฐกิจอย่างไรซึ่งเคยอธิบายไปแล้วหลายหนจะเป็นเงินใหม่เข้าไปในระบบประมาณ 5 แสนล้านบาท เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เพราะเราจำกัดให้ใช้ในพื้นที่ตามบัตรประชาชนในระยะเวลาจำกัด6เดือนอย่างที่เรียนหากเราทราบวันที่แน่นอนที่เราจะมีการออกมาเชื่อว่าภาคอุตสาหกรรม เอสเอ็มอีทั้งหลายจะเร่งการผลิตเพื่อรองรับกำลังซื้อตรงนี้ที่จะเข้ามา ก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ย้ำต้องบาลานซ์การลงทุนทั้ง3ระยะ
เมื่อถามว่ามองกันว่าเงินก้อนโตนี้จะไปเป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต โดยเฉพาะหลังปี 2570นายกฯตอบว่า ตรงนี้เชื่อว่าเราต้องบาลานซ์ระหว่างระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวด้วย การที่เรากระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไปก่อนที่นโยบายอื่นๆจะเริ่มออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติที่จะเข้ามาและมีการจ้างงาน สร้างการผลิตด้วยการยกระดับอุตสาหกรรมไทยขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ระหว่างนั้นเมื่อเงินดิจิทัลวอลเล็ตมาช่วยแล้ว บวกกับการลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามา ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โตขึ้น ซึ่งจะทำให้การใช้หนี้เกิดขึ้นได้
เมื่อถามว่านายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้โดยมองว่าการเติบโตเศรษฐกิจยังขับเคลื่อนได้ ยังไม่จำเป็นต้องแจกเงินดิจิทัล นายกฯกล่าวว่าถือเป็นความเห็นต่างที่ต้องพูดคุยกันต่อไป
เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องตอบต่อไป
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่นายจุรินทร์ ลักลักษณวิศิษฐ์สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าร่างงบประมาณปี68 อาจจะผ่านวาระ1 แต่วาระ3ที่มีเวลาพิจารณา105วันอาจมีการเปลี่ยนแปลงและอาจไปถึงศาลรัฐธรรมนูญนายกฯตอบว่าเรื่องเหล่านี้ตามที่ตนบอกความกังวล เราต้องให้เกียรติทุกๆคนโดยเฉพาะภาคนิติบัญญัติที่มีความไม่สบายใจ ขอใช้คำนี้ดีกว่าก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องตอบคำถามต่อไป ส่วนเรื่องจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ก็ต้องว่าไปตามกลไกตรงนั้น รัฐบาลก็มีหน้าที่ต้องตอบ
เมื่อถามว่ามีความเป็นห่วงถึงเงินดิจิทัลที่จะใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)และยังไม่ได้ถามกฤษฎีกา เกรงว่าจะไม่ทันวันที่ 1 ตุลาคมนี้ นายกฯกล่าวว่าเชื่อว่ากระทรวงการคลังมีไทม์ไลน์ที่ชัดเจนและคงจะดำเนินการต่อไป
เมินครหา‘เจ๊งกับเจ๊ง’แค่วาทกรรม
เมื่อถามว่าในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯปี68มีการปะทะกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลในคำว่าเจ๊งกับเจ๊งมองตรงนี้อย่างไรโดยมีการลามไปถึงคำว่ายุบพรรคด้วย นายกฯกล่าวว่าก็เป็นวาทกรรมที่เขาตอบโต้กันไป คำพูดอะไรที่มันรุนแรง อย่างที่บอกเจ๊งกับเจ๊งหรืออะไร ตนไม่อยากใช้คำพวกนี้ ถ้าฝ่ายหนึ่งแรงมาและอีกฝ่ายแรงกลับไปมันก็เกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สภาเริ่มพิจารณางบ’68วันที่สอง
ที่รัฐสภา เวลา 09.30 น.ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร(สมัยวิสามัญ)เป็นพิเศษมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วาระแรก วงเงิน 3.75ล้านล้านบาทเป็นวันที่สอง
‘ก้าวไกล’กางตัวเลขตอกหน้ารัฐบาล
นายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในประเด็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.)พบว่า ปัจจุบันมีเด็กหลุดออกนอกระบบ 1.02 ล้านคน เท่ากับเด็กไทย 100 คน หลุดออกนอกระบบ 8 คน ความยากจนคือสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กหลุดออกนอกระบบ เรายังมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าระบบการศึกษาอย่างมาก เด็กยากจนคือเด็กที่หลุดออกนอกระบบเป็นกลุ่มแรก กว่าครึ่งของเด็กกลุ่มนี้ต้องการทำงานมากกว่าเรียนหนังสือ แสดงให้เห็นว่าระบบการศึกษาไทยไม่ตอบโจทย์ให้กับเด็กกลุ่มนี้ เหมือนเป็นการผลักเขาออกนอกระบบ ทำเขาตกหล่นไม่โอบรับ ดังนั้น รัฐบาลต้องห้ามเลือดไม่ให้ไหลมากกว่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับเด็กปัจจุบันที่ยังไม่หลุดออกจากระบบ แต่มีแนวโน้มกำลงจะหลุด 2.8 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความยากจนรุนแรงที่สุดในประเทศ
“รัฐบาลบอกว่าจะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาแบบเร่งด่วน แต่กลับจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงไม่เพียงพอ ซึ่งในงบ 68กสศ.ของบ 7,800 ล้านบาท แต่รัฐบาลให้เพียง 6,900 ล้านบาท หากเราต้องการช่วยเด็กกลุ่มนี้ที่มีจำนวนล้านกว่าคนที่ออกนอกระบบไปแล้ว คิดว่ากสศ. ต้องได้รับงบประมาณมากกว่านี้ ข้อมูลของกสศ.ยังพบว่าในระดับอุดมศึกษา เด็กกลุ่มยากจนรุนแรงสามารถเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้เพียง 12.4% สาเหตุเพราะค่าใช้จ่ายในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระบบ T CAS ในปัจจุบันสูงมากหลักหลายพันบาท เด็กที่มีฐานะดีจะสอบกี่วิชาก็ได้ แต่เป็นการผลักเด็กที่มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสด้านการเงิน และเด็กบางคนแม้จะมีแรงฮึดสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แต่ก็ไม่มีเงินเรียน”ส.ส.พรรคก้าวไกล ย้ำ
อัดรบ.ไม่จริงใจแก้ปัญหากยศ.
นายปารมี อภิปรายว่าขณะนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)กำลังมีปัญหาใหญ่ขาดสภาพคล่องหนักมาก โดยกลับมาขอรับงบประมาณในรอบหลายสิบปี ปีนี้ของบสูงถึง 1.9หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลให้ได้แค่ 800 ล้านบาท ส่วนงบปี68 ขอ 5,000 ล้านบาท แต่รัฐบาลไม่ให้แม้แต่บาทเดียว อาจจำเป็นต้องตัดเงินกู้ยืมที่จะให้เด็กในปีการศึกษานี้ หรือหากยังมีปัญหาอาจต้องตัดเงินที่ให้เด็กไปแล้วซึ่งอาจทำให้ไม่มีเงินเรียนต่อ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ดังนั้น ตนขอเสนอการจัดสรรงบประมาณเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ คือต้องเร่งช่วยเหลือเด็กที่หลุดออกนอกระบบ ต้องไม่จัดงบแบบการอุดหนุนรายหัว การศึกษาขั้นพื้นฐานต้องฟรีจริง เพิ่มประสิทธิประโยชน์จูงใจครูให้สอนโรงเรียนขนาดเล็ก ปฏิรูปหลักสูตร และสร้างการศึกษาแบบไร้รอยต่อ อุดหนุนค่าใช้จ่ายในการเข้ามหาวิทยาลัยในระบบ T CAS
“การที่เด็กคนหนึ่งได้รับการศึกษาที่ดีจะเป็นบันไดสำคัญในการเข้าสู่รายได้ และคุณภาพชีวิต หากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐจะเกิดปัญหาอื่นตามมา วันนี้ท่านเพิกเฉยต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา หวังว่าท่านจะได้บริหารงบประมาณใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้เด็กไทยหลุดออกจากระบบ และให้ทุกโรงเรียนมีคุณภาพที่เสมอภาคกัน” นายปารมี กล่าว
‘คลัง’แจงอยู่ในช่วงปรับตัวหลังแก้กม.
ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงกรณีจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนกยศ.ว่ากองทุนฯของบประมาณครั้งแรกในรอบหลายปีเพราะมีการปรับแก้ไขกฎหมายกยศ.ปรับโครงสร้างเวลานี้จึงเหมือนเป็นช่วงปรับตัวให้เข้ากับพ.ร.บ.ใหม่ซึ่งกองทุนฯของบมาทั้งสิ้น 1.9หมื่นล้านบาท แต่เราจัดสรรให้ 800ล้านบาท ซึ่งดูแล้วว่าบริหารจัดการได้ภายใต้กรอบเงินที่คงเหลือในกองทุน รวมถึงเงินที่ได้รับการชำระจากลูกหนี้ ยังสามารถจัดการบริหารเงินได้ในกรอบที่จะรับเงินเพิ่มเติม 800ล้านบาท แต่ถ้าไม่พอก็มีกลไกรองรับอื่นๆเช่นงบกลาง
ยันจะไม่มีนร.-นศ.หลุดจากระบบ
“ยืนยันว่าจะไม่มีนักเรียน นักศึกษาหลุดจากระบบการศึกษาเพราะไม่สามารถกู้ยืมกยศ.ได้และเรายังตั้งเป้าการกู้ยืมที่ 6.2 แสนราย แบ่งเป็นนักเรียนเก่า 75 เปอร์เซ็นต์ และนักเรียนใหม่ 25 เปอร์เซ็นต์การแก้ไขพ.ร.บ.กยศ.เป็นการแก้เบี้ยปรับจาก 18เปอร์เซ็นต์ เหลือ 0.5เปอร์เซ็นต์ ไม่ให้มีคนค้ำประกัน และกฎหมายมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันแรกจนชำระคืนวันสุดท้าย ภายหลังจากที่ได้คำนวณใหม่แล้ว กยศ.ยังค้างเงินให้กับลูกหนี้หลายราย รวมเป็นเงินพันล้านบาท เมื่อคำนวณแล้วเขาจ่ายเกินมากแต่ทั้งหมดอยู่ในกรอบบริหารทางการเงินที่สามารถจัดการได้” รมช.คลัง กล่าว
นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่าขณะนี้เกิดMoral Hazard เล็กๆ กยศ.กลายเป็นเป้าสุดท้ายที่ประชาชนผู้กู้จะมาคืน เพราะไม่โดนฟ้อง ค้ำประกันก็ไม่มี ดอกเบี้ยก็ถูก ถ้าเทียบกับหนี้ในส่วนอื่นๆ ลูกหนี้ก็จะไปชำระหนี้อื่นๆก่อน แต่ตอนนี้เราก็ยังไม่มีแนวคิดปรับแก้ไขกฎหมาย เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นมติจากที่ประชุมรัฐสภาที่ให้ความเห็นชอบเราก็มีภาระรับโจทย์นี้ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นประโยชน์กับนักเรียก นักศึกษา
เล็งถก2ธนาคารสร้างแรงจูงใจ
“วันนี้เราไม่มีกระบองก็หากลไกให้เกิดแรงจูงใจให้เขาเป็นผู้กู้ที่ดีโดยกำลังพูดคุยกับส่วนงานที่เกี่ยวข้องเช่นชำระดีกับกยศ.จะถือเป็นลูกค้าเกรดเอ ถ้าเดินเข้าไปในธนาคารออมสินหรือธนาคารธกส.จะมีโอกาสได้รับเงินกู้ที่ง่ายขึ้น มากขึ้น และอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนทั้งนี้เพื่อหาวิธีการให้กองทุนสามารถอยู่ได้อย่างมั่นคง และยืนยันการจัดสรรงบประมาณเป็นไปอย่างพอดี ไม่มีถมเงินไปที่กองทุนใดกองทุนหนึ่งและยืนยันผู้กู้ในปีนี้ 6แสนกว่ารายต้องได้กู้อย่างแน่นอน”รมช.คลังระบุ
‘ไอติม’ซัดรบ.ละเลยงบการศึกษาไทย
เวลา 11.20 น.นายพริษฐ์วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงการศึกษาไทยที่เผชิญวิกฤตเกี่ยวกับทักษะตั้งแต่เกิดจนถึงแก่ว่าจากข้อมูลงบปี68พบว่า งบที่เกี่ยวกับด้านศึกษาการเรียนรู้และยกระดับทักษะอยู่ที่ 510,000 ล้านบาท กระจายไปยัง 14 กระทรวงหน่วยรับงบประมาณและยังพบปัญหางบเรียนรู้ที่ไม่เน้นการเรียนรู้ แต่งบประมาณส่วนใหญ่ไปอยู่ที่การปรับปรุงอาคาร ปัญหาต่างคนต่างทำ ทำให้เกิดความซ้ำซ้อน คนเรียนไม่ได้เลือกคนเลือกไม่ได้เรียน กระทรวงคิดแทนโรงเรียน
ยกระดับ-ทักษะศึกษาอัดงบ2หมื่นล.
นายพริษฐ์อภิปราย ขอเสนอให้ใช้วิธี ดังนี้1.ตัวเปลี่ยนเกม ในการยกระดับทักษะคนทุกช่วงวัย เช่น การอัดฉีดงบฯให้ท้องถิ่นดูแลเด็กเล็กในช่วงอายุ1,000 วันแรก จำนวน 20,000 ล้านบาท ขยายวันเวลาเปิดศูนย์เด็กเล็กที่มีอยู่แล้ว กับขยายการเปิดช่วงอายุเด็กที่เดิมส่วนกลางอุดหนุนเด็กตั้งแต่อายุ2ปีขึ้นไปให้ขยายสามารถอุดหนุนเด็กที่อายุต่ำกว่า 2ปีได้ 2.ระเบิดงบการศึกษาพื้นฐานส่งตรงให้โรงเรียนบริหารจัดการเองแล้วเปลี่ยนวิธีการอบรมให้กับครูเป็นคูปองเปิดโลกให้ครูได้เลือกเองว่าจะพัฒนาทักษะด้านไหน หรือใช้คูปองเปิดโรคให้กับนักเรียนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน3.ลงทุนเมกะโปรเจกต์ด้านทักษะและอุดหนุนคูปองและเปลี่ยนวิธีการลงทุนจากเบี้ยหัวแตกเป็นบาซูก้ารวมถึงเปลี่ยนจากการอุดหนุนหน่วยงานรัฐเป็นอุดหนุนให้กับผู้เรียนโดยตรง เช่น ทักษะพื้นฐาน ทักษะเชิงลึก หรือทักษะชีวิต
ขอเจียดงบดิจิทัลฯเพิ่มทักษะศึกษา
“ยืนยันว่าเมกะโปรเจกต์ที่ผมได้นำเสนอนี้ เป็นสิ่งที่สามารถเริ่มทำได้เลย หากกังวลเรื่องของการคัดกรองเนื้อหาอบรม ที่ใช้เวลานานอาจจะเริ่มจากทักษะบางประเภทที่มีคอร์สในตลาดเยอะอยู่แล้ว และงบประมาณปี 2568 สะท้อนเห็นชัดว่ารัฐบาลเศรษฐายังคงเลือกที่จะลงทุนอย่างมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนแจกเงินผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่สิ่งที่ยังคงเป็นปัญหาคือการลงทุนในการยกระดับทักษะของคนในประเทศ” นายพริษฐ์ย้ำและว่า นอกจากนี้สิ่งที่ต้องการนำเสนอ คือการลงทุน งบบูรณาการงบการเรียนรู้ยกระดับทักษะตลอดชีวิตเพื่อติดอาวุธทักษะให้กับทุกคน ตั้งแต่คันมารดาถึงเชิงตะกอน อัดฉีดงบ ให้ท้องถิ่นดูแลเด็กใน 1000 วันแรก ระเบิดงบประมาณขั้นศึกษาศึกษาพื้นฐานให้ถึงมือโรงเรียนครูนักเรียน และลงทุนในเมกกะโปรเจกต์ด้านทักษะเพื่ออุดหนุนคูปองฝึกทักษะให้กับคนทุกช่วงวัย เปรียบเสมือนตัวเปลี่ยนเกมหรือบิ๊กแบง3อย่างที่จะปลดล็อกศักยภาพของคนไทยในทุกช่วงวัยและปลดล็อกศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลก
ปชป.อัดงบแก้ยาเสพติดไม่มีวันสำเร็จ
เวลา 11.40 น นายราชิต สุดพุ่ม สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)อภิปรายงบฯปราบยาเสพติดในร่างงบฯปี 68ว่ารัฐบาลตั้งงบฯปี68ไว้ที่ 3.75ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้ว7.8% ในปี67ได้งบฯปราบยาเสพติดที่4,243ล้านบาท มาปี68 ได้เพิ่มเป็น 5,087ล้านบาทเพิ่มขึ้น19%ตนเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อคราวที่แล้ว ว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เมื่อมาดูในงบฯปี68ก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ การตั้งงบฯยาเสพติดในแผนบูรณาการ ภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงต้องทำงานแบบบูรณการร่วมกัน28 ส่วนราชการคือ 8 กระทรวง26หน่วยงาน โดยมีสำนักงาน ป.ป.ส. กระทรวงยุติธรรมเป็นเจ้าภาพหลัก ในภารกิจให้บรรลุวัตถุประสงค์
เย้ยล้มเหลวแก้ยาเสพติดวาระแห่งชาติ
นายราชิต อภิปรายว่า ขอให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดไปอยู่ในยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของมนุษย์ คิดว่าเป็นการมองในเชิงบวก เป็นการต้านคนเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ให้กับเยาวชนในสังคม ฝากถึงนายกฯชายที่ได้ประกาศเมื่อวันที่19กันยายน 66 จะแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และมีเป้าหมายให้เสร็จภายใน 1 ปี อีก3เดือน ในวันที่ 19 กันยายนปี 67แล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเลย นายกฯต้องทำให้เกิดความเชื่อถือกับทุกคน หากมีผู้ติดยาเสพติดมากเท่าไหร่ จะทำให้เกิดการสูญเสีย บุคลากรมนุษย์ชาติ การล่มสลายของสถาบันครอบครัว ชุมชน สังคมความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว สุดท้ายนี้คิดว่า การตั้งงบฯเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ไม่ประสบความสำเร็จแน่นอน จึงคาดการณ์ว่า การแก้ไขปัญหาอย่างอื่นก็ไม่สามารถทำได้ ตนจึงไม่สามารถรับร่างงบฯปี 68 ได้
ฝ่ายค้านฉะรัฐไม่ใส่ใจแก้หมอขาดแคลน
ช่วงบ่าย ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการอภิปรายเป็นไปอย่างราบเรียบ เงียบเหงา สส.ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล สลับขึ้นมาอภิปรายการจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุข โดยสส.ฝ่ายค้านอภิปรายเน้นไปที่รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญจัดสรรงบประมาณให้กระทรวงสาธารณสุข ปล่อยให้ขาดแคลนแพทย์ พยาบาล
น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลกล่าวว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568ไม่ให้ความสำคัญในการเพิ่มแพทย์ พยาบาล มาประจำที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ(ตำบล) รวมถึงนโยบายนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข ที่ระบุจะเพิ่มบุคลากรทางแพทย์ที่ขาดแคลน แต่ในร่างพ.ร.บ.งบรายจ่ายปี2568 กลับไม่มีการจัดสรรงบส่วนนี้ไว้ แสดงว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญการจัดสรรงบส่วนนี้ใช่หรือไม่
นายปิยชาติ รุจิพรวศิน สส.นครราชสีมา พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงงบอาสากู้ภัยของกระทรวงสาธารณสุข ที่มีอยู่ 45,000 คน แต่กลับมีปัญหารายได้ไม่เพียงพอ มีการค้างค่าค่าชดเชยเจ้าหน้าที่ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) 8เดือน ตั้งแต่ปี2566 แม้ล่าสุดสพฉ.ชี้แจงว่า จ่ายเงินที่ค้างอยู่ครบแบบเดือนต่อเดือนแล้ว แต่จากการตรวจสอบพบว่า สพฉ.ยังจ่ายเงินให้บุคลากรแค่ 2เดือนต่อครั้ง ไม่ใช่เดือนต่อเดือน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี