'เจิมศักดิ์'สะท้อนมุมมอง'ตบ-จับ-ปรับ-ขัง พื้นที่เรา ออกกฎเองได้?' ชี้เราพ้นยุคบ้านป่าเมืองเถื่อนมาแล้ว บอกสังคมไทยยังเข้าใจผิดพื้นที่ตนเองจะออกกฎอะไรก็ได้ พร้อมยกคำพูดสั้นๆของ"ปรมาจารย์ทางกฎหมาย"แต่กินใจความ ชวนให้ขบคิด
24 มิ.ย. 2567 ช่องยูทูบ “WATCHDOG CHANNEL” เผยแพร่คลิปวีดีโอ “ตบ-จับ-ปรับ-ขัง พื้นที่เรา ออกกฎเองได้?” ซึ่งเป็นคลิปที่ รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ให้ความเห็นกรณีสถานที่หลายแห่งออกกฎระเบียบมาบังคับใช้เอง ซึ่งหลายเรื่องก็ปรากฏเป็นข่าวและมีข้อถกเถียงในสังคม เช่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลออกกฎห้ามสูบบุหรี่ในโรงพยาบาล แล้วลงโทษผู้ฝ่าฝืนถึงขั้นทำร้ายร่างกาย หรือสถานที่จัดงานมหรสพ เจ้าของสถานที่ออกกฎว่าใครที่ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจะถูกขังในห้องดับจิต เป็นต้น
โดย รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวว่า มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า ใครเป็นเจ้าของสถานที่สามารถออกกฎมาลงโทษผู้ฝ่าฝืนได้ เช่น การห้ามสูบบุหรี่ในโรงพยาบาล ซึ่งจริงๆ การสูบบุหรี่ในที่ที่ไม่สมควรสูบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ต้องดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่ใช่ไปดำเนินการตามกฎของตนเองซึ่งจะมีปัญหา อย่างกรณีผู้อำนวยการโรงพยาบาล ที่ถึงขั้นไปตบหน้าและจับแก้ผ้าคนที่แอบสูบบุหรี่ในโรงพยาบาลที่ตนเองดูแลอยู่ ท้ายที่สุดก็จะเห็นว่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนั้นถูกดำเนินคดีข้อหาทำร้ายร่างกาย
แต่สิ่งที่ลึกไปกว่านั้น คือมีคนจำนวนมากที่คิดว่าใครเป็นเจ้าของพื้นที่ก็สามารถตั้งกฎดูแลพื้นที่ของตนเองขึ้นมาอย่างไรก็ได้ หรือคิดว่าตรงนี้เป็นพื้นที่ของเรา เป็นบ้านของเรา ใครเข้ามาก็จัดการได้ อย่างการจัดงานสงกรานต์ในสนามกีฬาแห่งหนึ่ง ซึ่งตนก็เห็นด้วยเรื่องการห้ามก่อเหตุทะเลาะวิวาท แต่การที่เจ้าของสถานที่ไปประกาศว่าใครฝ่าฝืนจะถูกจับขังในห้องดับจิตจนกว่างานจะเลิก หรือห้างสรรพสินค้าที่ติดประกาศไม่รับผิดชอบความเสียหายกับรถยนต์ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ แล้วคนก็เชื่อว่า เจ้าของสถานที่ติดป้ายแจ้งแล้วก็ไม่ต้องรับผิดชอบ
“ผมเคยนำเรื่องนี้ไปถามปรมาจารย์ทางกฎหมาย คือท่านอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ (อดีตองคมนตรี และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) อาจารย์จิตติท่านให้คำพูดสั้นๆ นิดเดียวแต่กินใจความเลย ‘ถ้าเขาทำได้และใช้บังคับได้ เขาก็คือรัฐสภา’ ทำให้ผมนั่งคิด ถ้าแต่ละคนตั้งกฎเกณฑ์ในอาณาเขตของตัวเอง แล้วอาจจะขัดแย้งกัน อาจจะเกินเลยสิทธิมนุษย์ของคนอื่น เราทำได้หรือเปล่า? ถ้าอย่างนี้แต่ละคนจะมาอยู่ร่วมกัน เรียกว่าเป็นราชอาณาจักรไทย มันอยู่ร่วมกันโดยใช้กติกาที่ไม่เหมือนกันอย่างนี้ได้หรือเปล่า? และต่างคนต่างทำตามอำเภอใจได้หรือเปล่า?” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องนี้ได้คิดเยอะแล้วก็คิดว่าไม่น่าจะทำได้ ไม่เช่นนั้น สมมติตนจะออกกฎว่าใครจะเข้ามาบ้านตน หากเป็นผู้หญิงสวยๆ ทำผิดตนสามารถปล้ำหรือใช้แส้ตีได้หรือไม่? หรือใครทำอะไรผิดตนสามารถตบตีหรือจับขังได้หรือไม่? ซึ่งหากตนไปทำแบบนั้นก็คงถูกดำเนินคดีข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ดังนั้นเมื่อเราอยู่กันเป็นสังคมส่วนใหญ่ก็จะต้องมีกติกาของสังคมที่ใช้บังคับ แน่นอนว่าคนที่เข้าไปทะเลาะเบาะแว้งในสถานที่ของเอกชน ก็ต้องใช้กฎเกณฑ์ของสังคมที่กำหนดโดยรัฐสภา
ซึ่งตนก็มีตัวอย่างคดีความที่ได้เรียนรู้จาก ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ เคยมีคดีรถยนต์หายหรือได้รับความเสียหายในห้างสรรพสินค้า เรื่องถึงขั้นฟ้องคดี ซึ่งศาลก็มีคำพิพากษาระบุว่า เมื่อห้างสรรพสินค้ามีที่จอดรถเป็นสิ่งควบกับการค้าขาย ก็หวังจะได้ประโยชน์จากการที่คนมาซื้อของ เป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายของ และเมื่อได้ประโยชน์แล้วก็ต้องดูแลลูกค้าด้วย ดังนั้นประกาศเรื่องไม่รับผิดชอบรถยนต์ของลูกค้าที่เสียหายหรือสูญหายจึงไม่สามารถใช้ได้
“เช่นเดียวกับโรงแรม ที่ชอบไปติดป้ายว่าผู้มาพักโรงแรมถ้าของหายจะไม่รับผิดชอบ เว้นแต่จะต้องเอาของมีค่ามาฝากไว้กับทางโรงแรมเท่านั้น ติดได้แต่บังคับจริงๆ ไม่ได้ ถ้าของหายก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี มันเป็นไปได้ในระบบเก่าที่บ้านเมืองยังไม่รวบรวมเป็นสังคมใหญ่ แต่ละอาณาเขต แต่ละเขตเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เป็นอาณาเขตของตัวเองที่ไม่ได้ขึ้นต่อกันและกัน เหมือนกับเป็นเอกเทศ” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ระบุ
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมในส่วนนี้ว่า ประเทศไทยสมัยก่อนจะมีบ้านที่อยู่ในป่า หรือเป็นอาณาจักรต่างๆ เช่น สุโขทัย ลพบุรี อยุธยา ล้านนา ฯลฯ ที่ไม่ได้รวบรวม ซึ่งก็จะมีกฎเกณฑ์เป็นของตนเอง เพราะยังไม่ได้รวมตัวกันเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ แต่ ณ ปัจจุบันเมื่อรวมกันแล้วจะไปใช้วิธีคิดแบบเดิมนั้นคงไมได้ อย่างกรณี ผอ.รพ. ที่ไปบอกว่าจะเพิ่มโทษปรับคนสูบบุหรี่จาก 5,000 บาท เป็น 5 แสนบาท แต่จริงๆ ก็ไม่สามารถไปปรับในอัตราดังกล่าวได้ และแม้จะไปฟ้องศาล ศาลก็ไม่ให้ปรับในอัตรานั้นด้วย การออกกฎแบบนี้จึงปรามได้กับคนที่ไม่รู้
“คนที่ไม่มีความรู้ทางกฎหมายก็กลัว ก็อาจได้ประโยชน์ในมุมนั้น คนที่กลัวไปที่บ้านเขาก็ทำบ้าง มันก็เลยเป็นการเผยแพร่วิธีคิดที่มันไม่ถูก มันไม่ครอบคลุมสิทธิของคนที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย (ชมคลิปต้นฉบับที่นี่)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี