“พิธา” แถลงดิ้นสู้คดียุบพรรคก้าวไกล สับกกต. 2 มาตรฐาน จ้องส่งขึ้น“ทางด่วน”พรรคอื่นไปทาง“ธรรมดา”เปิด 2 คำตอบแจง “ศาลรธน.” ย้ำคำร้องกกต.ไม่ชอบด้วยก.ม.ไร้ถ่วงดุล ปิดประตูชี้แจงแก้ตัว บกพร่อง ไม่ทำตามกระบวนการ ยัน“ไม่เป็นปฏิปักษ์”เหตุไม่อยู่ในคำวินิจฉัยศาลฯที่ 3/67“ล้มล้างการปกครอง” ตะเพิดต้องไปเริ่มกระบวนการมาใหม่
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงถึงความคืบหน้าในคดียุบพรรคก้าวไกล ภายหลังจากเมื่อวันที่9มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เคยแถลงต่อสู้คดี 9 ข้อ ที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่า การแถลงในวันนี้เป็นเรื่องความคืบหน้าต่อเนื่อง ซึ่งตนจะขอเน้นย้ำถึงกระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนการยุบพรรคมีสองมาตรฐาน เพราะ กกต. อ้างว่าในกรณีของพรรคก้าวไกลใช้แค่มาตรา92 ก็สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้ เพราะ “มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า” ทั้งที่มาตรา93 เขียนไว้ชัดเจนว่าต้องต่อเนื่องจากมาตรา 92 ถ้าตีความอย่างเคร่งครัดคือไม่สามารถใช้แยกกรณีกันได้ ถ้าใช้แยกกรณีกันเมื่อใดหมายความว่ามีสองมาตรฐานในการยื่นยุบพรรคทันที
ส่งก้าวไกลขึ้นทางด่วนยุบพรรค
“บางพรรคที่อยากให้เร็วก็ใช้เฉพาะมาตรา 92 แต่พรรคใดที่อยากให้ช้าหน่อยก็ใช้มาตรา 92 ประกอบกับ 93 ถ้าปล่อยให้ใช้แยกกันย่อมหมายความว่าจะเป็นการส่งพรรคก้าวไกลขึ้นทางด่วน แต่พรรคอื่นไปทางธรรมดา เป็นสองมาตรฐานที่ต้องตั้งคำถามว่า กกต.สามารถใช้ดุลยพินิจเช่นนี้ โดยไม่ต้องมีการถ่วงดุลและมีส่วนร่วมได้ด้วยหรือ” นายพิธา กล่าว
ยื่นคำชี้แจงต่อสู้คดี
นายพิธา กล่าวต่อว่า สำหรับไทม์ไลน์การต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล นับตั้งแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ยื่นยุบพรรคก้าวไกลต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่18มี.ค.ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา104วัน พรรคก้าวไกลใช้เวลาทำคำชี้แจงทั้งหมด62วัน และยื่นคำชี้แจงต่อศาลฯ เมื่อวันที่4มิ.ย.67 ต่อมาในวันที่19มิ.ย.67 ศาลฯมีคำสั่งให้พรรคก้าวไกลทำบันทึกถ้อยคำภายใน7วัน โดยมี2คำถามกับพรรคก้าวไกลคือ 1.พรรคก้าวไกลได้โต้แย้ง กกต.ในประเด็นที่พรรคไม่มีโอกาสชี้แจงในชั้นพิจารณาของ กตต.หรือไม่ 2.การกระทำตามข้อเท็จจริง ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่3/2567 อาจเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ และกำหนดนัดพิจารณาต่อไปในวันที่3ก.ค.นี้
นายพิธา กล่าวต่อว่า ทั้ง2คำถามที่ศาลฯถามต่อพรรคก้าวไกล เราทำเสร็จแล้ว และตอบกลับไปภายใน7วัน โดยคำถามแรก เราตอบกลับไปว่า เราไม่มีโอกาสชี้แจงหรือโต้แย้งในชั้นการพิจารณาของ กกต.ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่พรรคก้าวไกลจะมีโอกาสเรียกร้องกกต.ให้ทำตามกระบวนการ โดยมีเหตุผล ดังนี้ 1.กกต.ไม่ทำตามกระบวนการที่กำหนดไว้ ไม่แจ้งข้อกล่าวหากับพรรคก้าวไกล และไม่เปิดโอกาสให้แสดงพยานหลักฐานก่อนที่กกต.จะเสนอคำร้องยุบพรรคฯต่อศาลฯ 2.ไม่มีกฎหมายใดที่กำหนดหน้าที่ให้พรรคต้องโต้แย้งในกรณีที่กกต.ไม่ทำตามกระบวนการ 3.ศาลเคยยกคำร้องเพราะกกต.ไม่ทำตามกระบวนการ ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่13/2553 เนื่องจากนายทะเบียนพรรคไม่ได้ทำความเห็นก่อนส่งเรื่องเข้ากกต. เทียบกับเคสพรรคก้าวไกล เป็นความผิดพลาดทางเทคนิคที่น้อยกว่าของพรรคก้าวไกล ศาลยังยกคำร้องฯ แต่กับพรรคก้าวไกลที่ถูกข้ามขั้นตอน และถูกปิดโอกาสชี้แจง ถือเป็นความผิดพลาดที่มากกว่า ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น และ4.ความบกพร่องทางขั้นตอนของกกต.ไม่สามารถแก้ไขได้ในชั้นศาลฯ ต้องแก้ไขในชั้นกกต.
ก้าวไกลไม่เป็นปรปักษ์กับใคร
“ผมยังเชื่อมั่นว่า ถ้ากกต.เปิดประตูให้พรรคก้าวไกลพูดคุย รับทราบข้อกล่าวหา ชี้แจงพยานหลักฐาน และอธิบาย ผมคิดว่ามีความเป็นได้สูงที่จะยกคำร้องตั้งแต่ชั้นกกต.เนื่องจากเคยมีผู้มาร้องยุบพรรคก้าวไกล 2 ครั้ง กกต.ก็ยกคำร้องทั้ง2ครั้ง เและพรรคก้าวไกลไม่เคยโดนเตือนว่าห้ามใช้สถาบันพระมหากษัตริย์มาหาเสียง เหมือนนักการเมืองอาวุโสบางพรรคในพรรคร่วมรัฐบาล พรรคก้าวไกลไม่เคยโดนถามเรื่องนโยบายเหมือนพรรครัฐบาล ที่ถามว่าที่มาของเงินจะมาจากไหน มันจึงเป็นโอกาสที่สูญเสียไป ไม่สามารถมาชดเชย หรือแก้ไขได้ในชั้นศาลฯอย่างแน่นอน” นายพิธากล่าว
นายพิธา กล่าวอีกว่า ขณะที่คำถามที่สองเราตอบว่า การกระทำของพรรคก้าวไกล ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ แต่พรรคก้าวไกลจะไม่ตอบต่อศาลฯในชั้นนี้ เนื่องจาก 1.ข้อกล่าวหาในคดีนี้เป็นคนละข้อกล่าวหาในคำวินิจฉัยศาลฯ ที่3/67 ที่ถามว่าใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างหรือไม่ แต่คำร้องของ กกต. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา92 ใช้ข้อหาว่าล้มล้าง และอาจเป็นปฏิปักษ์ โดยเฉพาะคำว่าอาจเป็นปฏิปักษ์ที่อาจคล้ายกับกรณีของการยุบพรรคไทยรักษาชาติ เพราะฉะนั้นการพิจารณาของศาลในคำวินิจฉัยฯที่3/67 ไม่มีการวินิจฉัย และไม่ได้อยู่ในขอบเขตของการตั้งรูปคดี จึงถือว่ายังไม่ได้มีการตั้งคำถามด้วยซ้ำ พรรคก้าวไกลจึงไม่สามารถตอบได้ ยืนยันว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้และ2.กกต.ไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหามาก่อน ถือเป็นประเด็นใหม่ ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ในชั้นกกต.ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ยังไม่คิดจะฟ้องกลับใคร
เมื่อถามว่า หากศาลฯมีคำวินิจฉัยว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้กระทำตามข้อกล่าวหา จะมีการฟ้องร้องกลับต่อกกต. หรือไม่นายพิธา กล่าวว่า ยังคงไกลไปเยอะที่จะคิดเรื่องนั้น เราเพียงยืนยันว่าคำร้องกกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีส่วนร่วมไม่มีการถ่วงดุล ผิดขั้นตอนของกกต. ส่วนจะประเมินสถานการณ์ต่อจากนี้อย่างไรนั้น อาจจะเดินหน้าต่อเพื่อให้มีการไต่สวน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกรณีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ มันยิ่งต้องเป็นเช่นนั้นที่จะยกคำร้องกับพรรคก้าวไกลเพราะเป็นข้อผิดพลาดที่ทำให้พรรคเสียหาย เสียโอกาสสำคัญในการชี้แจง
เมื่อถามว่าการรับลูกของศาลฯจะถือเป็นการฟอกขาวให้กกต.หรือไม่ นายพิธา ตนไม่สามารถก้าวล่วงศาลฯ และกกต.ได้ ตนเพียงต้องการแถลงข้อเท็จจริงแบบตรงไปตรงมาในฝั่งของตนที่ถูกกระทบ ไม่ต้องการก้าวล่วงขอบเขตของคนอื่น
ต้องเปิดโอกาสให้พิสูจน์
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่ากรณีนี้จะไม่ถูกยุบพรรค นายพิธา กล่าวว่า ถ้ามีความสม่ำเสมอหรือใช้มาตรฐานในการทำคำร้อง หรือตัดสินคดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเคสกรณีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ น่าจะทำให้เรามีความมั่นใจ ส่วนหากจะเทียบกับกรณีคดี 44สส.ของพรรคก้าวไกล เข้าชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ที่อยู่ในชั้นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นั้น เราก็เชื่อมั่นพอๆกัน เรายังเชื่อมั่นในเจตนาดีที่มีต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่ผ่านมาที่มีการอธิบายได้ เรามีผู้ต้องหาตามมาตรา112ที่เป็นสส. หรือสมาชิกพรรค ก็ต้องให้โอกาสเขาพิสูจน์ ดังนั้นการที่กกต.เคยยกคำร้องเกี่ยวกับการยุบพรรคก้าวไกลมาแล้ว2ครั้ง ทำให้เรามั่นใจทั้งในชั้นของกกต. และป.ป.ช.
กกต.ไม่ทำให้ชาวบ้านผิดหวัง
เมื่อถามถึงกรณีที่นิด้าโพลสำรวจความนิยมของพรรคการเมือง โดยพรรคก้าวไกล และนายพิธา ยังได้รับความนิยมมาเป็นลำดับ1อยู่ จะเป็นการตอกย้ำคำว่ายิ่งยุบยิ่งโต หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ได้ตอกย้ำขนาดนั้น แต่ต้องขอยกความดีความชอบให้กับเพื่อนๆสส.ในพรรค ทีมงานจังหวัด ทีมงานในพื้นที่ พนักงาน สมาชิกพรรค ที่ทำงานหนักพิสูจน์ตัวเองในช่วง5ปที่ผ่านมา ก็ขอขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจกับพรรคก้าวไกล เราจะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังเป็นเครื่องเตือนใจที่ต้องทำงานให้หนักขึ้นให้สมกับความคาดหวังที่มากขึ้น ขณะเดียวกันยังต้องดูความต่อเนื่องอัตราการเพิ่มลด ตนกังวลที่นิด้าโพลเผยผลสำรวจว่า คนที่มาเป็นลำดับ2 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ถึง20เปอร์เซ็นต์สะท้อนว่ามีประชาชนรู้สึกว่าการเมืองในระบบรัฐสภาไม่ตอบโจทย์ มันมีคนถูกทอดทิ้ง ไม่มีปากไม่มีเสียงในระบบการเมืองไทย ตนยิ่งต้องทำงานหนักว่าจะทำอย่างไรที่เปลี่ยนใจให้คนในจำนวน20เปอร์เซ็นต์นี้สวิงมารวมกับเรา
เมื่อถามถึงความนิยมของฝั่งรัฐบาล โดยเฉพาะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ลดลงมาเป็นลำดับ3 ในฐานะพรรคฝ่ายค้านมองอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ตนมองที่ตัวเองว่าต้องทำงานหนัก เพราะตนก็เคยมีผลโพลความนิยมลดลง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าต้องย่อท้อ หรือเสียกำลังใจ ยิ่งในช่วงบ้านเมืองลำบากยากเข็ญ มันต้องมีกำลังใจดี มีความพร้อมทำงานให้ประชาชนเสมอ ก็เป็นกำลังใจให้นายเศรษฐา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี