"พล.อ.สมเจตน์"มองการเมืองไทย"ยิ่งเก่ง-ยิ่งโกง" ย้ำหากรัฐบาลสุจริตไม่มีใครเรียกร้องรัฐประหาร
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นชีวิตของตนกับการเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ว่า เริ่มเข้ามาช่วงปี 2549 ก่อนจะเว้นวรรคไปช่วงปี 2551-2554 ที่มึการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 กระทั่งในปี 2554 ก็ได้กลับเข้ามาอีกครั้งผ่านกลไกการเป็น สว. แบบสรรหา กระทั่งมาถึงการเป็น สว. ชุดปัจจุบัน รวมระยะเวลาได้ประมาณ 15 ปี
ซึ่งหากมองตั้งแต่ปี 2549 ที่มีการยึดอำนาจรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น) มาจนถึงปัจจุบัน การเลือกตั้งก็ยังได้พรรคเพื่อไทย ที่มาจากระบอบทักษิณ เข้ามาทำหน้าที่อยู่ ตามประสบการณ์ของตน ในปี 2549 เป็นการยึดอำนาจเพื่อล้มล้างระบอบทักษิณ ส่วนปัจจุบันเราได้ระบอบทักษิณที่เลวร้ายกว่ากลับคืนมา ดังนั้นในทางการเมืองตนคิดว่าไม่ได้ก้าวหน้าไปทางไหน คือสาธารณูปโภคอาจก้าวหน้าไป แต่นักการเมืองยังเหมือนเดิม
“เดิมเรามีความคิดว่าถ้าเราได้นักการเมืองที่มีความรู้ ในทางการเมืองของเราน่าจะมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น แต่ผลปรากฏว่ามันเป็นการตรงกันข้าม เราได้นักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถมากขึ้น แต่มีวิธีการคิดในการทุจริตคดโกงแนบเนียนมากขึ้น จับยากมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ต้องดูว่าในที่สุดบ้านเมืองเราจะอยู่กันต่อไปอย่างไร” พล.อ.สมเจตน์ กล่าว
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ สว. ในชุดของตน เช่น มีที่มาจากเผด็จการ หรือจากรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตนมองว่า สว. ที่ถูกโจมตี คือผู้ที่ดำรงตำแหน่งช่วงปี 2562-2567 หรือก็คือชุดปัจจุบันตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 แต่ก็ต้องดูว่าจุดที่ถูกโจมตีเริ่มต้นมาจากอะไร ซึ่งก็คือการปฏิวัติรัฐประหาร ไปยึดอำนาจมาจากทางการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องย้อนมองไปอีกว่า มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร
เพราะหากบอกว่าการปฏิวัติรัฐประหารไม่ดี ก็ต้องดูด้วยว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบริหารราชการแผ่นดินด้วยอำนาจที่ชอบธรรมหรือไม่ มีการทุจริตคดโกงหรือไม่ ถ้ารัฐบาลใช้อำนาจบริหารอย่างชอบธรรม ไม่ทุจริตคดโกง ตนเชื่อว่าไม่มีประชาชนเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐบาลนั้น ซึ่งทั้งปี 2549 และปี 2557 จะเห็นประชาชนออกมากันเป็นจำนวนมากเพื่อต่อต้านการใช้อำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรม และขอให้ทหารเข้ามาแก้ไขปัญหา อย่างในปี 2557 ประชาชนถึงกับประณามว่าทหารเอาตัวรอด เพราะประเทศชาติถึงทางตันแล้วแต่กลับไม่ช่วยแก้ปัญหา
“การปฏิวัติรัฐประหาร เกิดขึ้นมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้อำนาจไม่ชอบธรรม ทุจริตคดโกง เพราะฉะนั้นวิธีการป้องกันการปฏิวัติรัฐประหาร ที่สุดก็คือการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลจะต้องบริหารด้วยอำนาจที่ชอบธรรม ไม่ทุจริตคดโกง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอย่างนี้ การปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้” พล.อ.สมเจตน์ กล่าว
พล.อ.สมเจตน์ ยังกล่าวอีกว่า การที่ สว. ชุดปี 2562-2567 ซึ่งมาจากรัฐธรรมนูญ 2560 ถูกตั้งข้อรังเกียจ ก็เพราะมีที่มาจากการแต่งตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ในเวลานั้น ดังนั้นฝ่ายที่รังเกียจ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งนอกจากโจมตีที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรงแล้ว ยังโจมตีฐานอำนาจ ซึ่งในทางนิติบัญญัติก็คือ สว. หรือก่อนหน้านั้นคือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวมถึงโจมตีกองทัพ ดังจะเห็นว่า สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กองทัพจะถูกโจมตีอย่างมาก
ดังนั้นก็เป็นสิ่งปกติธรรมดาที่ฝ่ายซึ่งไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องหาวิธีบ่อนทำลายความชอบธรรมขององค์กรที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่ตนก็ไม่ได้คิดว่าโดนหางเลข แต่คิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องเกิดแน่นอน อย่างตนก็พูดเสมอว่าเราไม่สามารถปฏิเสธที่มาของเราได้ หรือปฏิเสธการกำเนิดไม่ได้ แต่เราสามารถทำสิ่งต่างๆ ให้ดี ให้เป็นไปตามระบบของสภาที่ควรจะเป็นได้
ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกล ออกมาเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รีบรับรองว่าที่ สว. ชุดใหม่โดยเร็ว เพราะไม่อยากให้ สว. ชุดปัจจุบันรักษาการต่อไปเป็นเวลานาน ตนมองว่า ก็ต้องกลับไปดูเป้าหมายหรือแนวทางของพรรคก้าวไกล คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งความพยายายามของพรรคก้าวไกล หรือก่อนหน้านั้นคือพรรคอนาคตใหม่ คือการล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 แล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่สิ่งที่ขัดขวางคือกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 กำหนดว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ต้องมีเสียง สว. อย่างน้อย 1 ใน 3
ดังนั้นเมื่อ สว. ชุดปัจจุบันไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกล ก็ต้องอยากได้ สว. ชุดใหม่ โดยเชื่อว่า สว. ชุดใหม่ จะสนับสนุนแนวทางของพรรคก้าวไกล ซึ่งจะคิดถูกหรือไม่ก็ต้องรอดูกันต่อไป หากการแก้ไขเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง แม้แต่ สว. ชุดที่ตนอยู่นี้ก็พร้อมจะสนับสนุน แต่ให้ลองไปดูที่พรรคก้าวไกลอยากจะแก้ไข มีเรื่องอะไรบ้าง
และที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 กำหนดให้ใช้เสียง สว. 1 ใน 3 เพราะสมัยรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 การแก้ไขรัฐธรรมนูญดำเนินการได้หากได้รับเสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา (สส. และ สว.) แต่ขณะนั้นรัฐสภาเป็นเผด็จการ เสียงของ สว. กับฝ่ายค้านนั้นไม่เพียงพอจะเป็นเสียงข้างมาก ก่อนที่ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นจะไปสะดุดที่ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 จึงกำหนดกลไกให้มีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ทั้ง 1 ใน 3 ของ สว. และร้อยละ 20 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในซีกฝ่ายค้าน
“เมื่อเขามองว่า สว. ชุดปัจจุบันเป็นอุปสรรคเขา เขาก็ไม่อยากได้ ทั้งที่เขาก็ยังไม่ทราบว่าชุดใหม่จะเป็นอย่างไร ก็ไม่แน่ว่าถ้าชุดใหม่เขามองในภาพของส่วนรวม เขาจะเห็นชอบกับการแก้ไขของก้าวไกลหรือไม่-อย่างไร” พล.อ.สมเจตน์ กล่าวย้ำ
ชมคลิปเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=yO9caej397E
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี