ในเดือน มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในทางการเมือง ทั้งการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่, คดียุบพรรคก้าวไกลกรณีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญกำหนดให้บุคคลเสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นล่วงหน้าต่อศาลรัฐธรรมนูญตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
นอกจากนั้นยังมีคำสั่งให้นำพยานเอกสารในสำนวนการไต่สวนคดีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มารวมไว้ในสำนวนคดีนี้เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดพิจารณาต่อไปในวันที่ 3 ก.ค. 2567 และกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 ก.ค. 2567, คดีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตอาจเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติและต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยมีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 40 คน เป็นผู้ร้องศาลรัฐธรรมนูญ
โดยคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญให้หน่วยงาน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นและจัดส่งสำเนาเอกสารหลักฐานตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดนัดพิจารณาต่อไปในวันที่10 ก.ค. 2567, คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่ง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง และได้รับการประกันตัว วันที่ 18 มิ.ย. 2567
รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ“แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 18 มิ.ย. 2567 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นว่า ในส่วนของ “คดียุบพรรคก้าวไกล” ว่า แม้สถานการณ์จะเลวร้ายที่สุด คือพรรคถูกยุบและมีบุคคลถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ฝ่ายก้าวไกลก็มั่นใจว่าจะมีพรรคการเมืองมาสานต่อ
ซึ่งแม้จะเสีย สส. งูเห่าออกไปบ้าง แต่ก็เชื่อว่ายังมีแรงสนับสนุน ก็ทำให้เคลื่อนต่อไปได้ อย่างคณะก้าวหน้าที่ปัจจุบันก็เห็นเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ แน่นอนว่ากระทบตัวบุคคล คือมีคนถูกตัดสิทธิ์ แต่ในภาพรวมทางการเมืองไม่เปลี่ยนแปลง หากวันนี้พรรคก้าวไกลถูกยุบ ตนเชื่อว่าบรรดานักวิเคราะห์การเมืองก็คงมองว่า พรรคที่มารับช่วงต่อก็ยังมีโอกาสมากที่สุดที่จะชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ที่มีการลือกันว่าตนจะไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ว่า ขอยืนยันว่าไม่รู้เรื่องและไม่เกี่ยวข้องด้วย อาจเป็นความเห็นส่วนตัวของคนที่พูดเรื่องดังกล่าวขึ้นมา แต่เขาคงไม่เอาตนไปเป็นหัวหน้าพรรค อีกอย่างเวลานี้เขาคงวุ่นอยู่กับการต่อสู้คดี ซึ่งที่คนรู้สึกว่าคดีพรรคก้าวไกลต้องเดินไปแบบนี้เพราะเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่มีคนไปร้องให้พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ และเมื่อศาลวินิจฉัยออกมาแบบนั้น คนก็ต้องมองว่าต้องมีคดีนี้ต่อมา
“ตอนนี้มันต้องต่อสู้เรื่องนี้เป็นหลัก ผมเข้าใจอย่างนั้น เพราะว่ามันก็ยากที่จะไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเขาเปลี่ยนสิ่งที่เขาเคยเขียนไว้ในคำวินิจฉัยในคดีนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้ถ้าจะสู้ก็อาจจะต้องเป็นลงไปว่าเป็นเจตนาไหม? หยุดการกระทำแล้วต้องยุบไหม? มีอำนาจยุบหรือเปล่า? การดำเนินการในการยุบมันถูกต้องตามขั้นตอนไหม? ผมดูว่ามันก็จะไปในเรื่องพวกนี้มากกว่า” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วน “คดีนายกฯ เศรษฐาแต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี” ตนเห็นว่า ในประเทศไทย ทุกคดีจะคุยกันได้ 2 มุม คือมุมกฎหมายกับมุมการเมือง ซึ่งในความเห็นของตนอาจผิดก็ได้ แต่ในมุมกฎหมายหากพูดกันตามสามัญสำนึกก็มีความรู้สึกว่าค่อนข้างชัด ซึ่งหากแต่งตั้งบุคคลที่มีประวัติแบบนี้ แล้วมีประมวลจริยธรรมอยู่ ถ้าบอกว่าไม่ผิดก็จะเกิดคำถามมากมายเหมือนกันว่าประมวลจริยธรรมเขียนไว้ทำไม? หรือแปลว่าอะไร?
อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมายก็มีเรื่องของเทคนิคอยู่ เช่น หากเป็นเรื่องจริยธรรมจริงก็ควรไปผ่านช่องทางอื่นๆ มาก่อนหรือไม่? ซึ่งจริงๆ เหตุที่เกิดขึ้นจะบอกว่าไม่รู้เรื่องเลยก็คงไม่ได้ เพราะตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ ก็มีชื่อนายพิชิตอยู่ในโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แต่งตั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างอยู่ แต่การที่ไม่ตั้งก็เป็นที่รับรู้กันว่ามีเครื่องหมายคำถามเรื่องคุณสมบัติ
และแม้ในภายหลัง นายพิชิต จะลาออกจากตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ แต่ก็เป็นเรื่องของนายพิชิต ส่วนนายกฯ เศรษฐา ก็จะยังต้องถูกตรวจสอบเรื่องการแต่งตั้งนายพิชิตต่อไป ถึงกระนั้น หากมามองในมุมการเมือง การที่นายเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ มีผลกระทบสูง เพราะหากรัฐบาลชุดเดิมยังต้องการอยู่ด้วยกันต่อไป ทางพรรคเพื่อไทยยังเหลือรายชื่อบุคคลที่พรรคเสนอให้เป็นนายกฯ อีก 2 คน แต่คำถามคือเป็นที่เห็นพ้องต้องกันแล้วหรือยัง ที่สำคัญคือ การเลือกนายกฯ คนใหม่ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะไม่เกี่ยวข้องอีกแล้ว สมการก็เปลี่ยนไปอีก
ดังนั้นหากในมุมการเมืองแล้วก็อาจรอด เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดเรื่องยุ่งๆ ตามมา แต่หากเป็นมุมกฎหมายสำหรับตนแล้วตรงไปตรงมาว่าค่อนข้างชัด ส่วนคำถามว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีการเตรียมตัวกันมา เหมาะสมหรือยังกับการรับตำแหน่งนายกฯ เรื่องนี้อย่ามาถามตน แต่ตนถามว่าโอกาสที่จะเป็นหรือไม่เป็นมาจากปัจจัยอะไร?เพราะจริงๆ ทุกคนก็พูดตรงกันว่าครอบครัวคิดอย่างไร?ซึ่งดูเหมือนครอบครัวเขาจะยังไม่พร้อม และตนก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน แต่ปัญหาคือถ้าเอาอย่างนั้นแล้วจะมีตัวเลือกอื่นหรือไม่?
อย่างอีกชื่อหนึ่งในพรรคเพื่อไทย คือนายชัยเกษม นิติสิริก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพ หรือจะข้ามมาที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็มีคำถามว่าพรรคเพื่อไทยจะปล่อยมือจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยเหตุผลใด? หรือจะย้ายขั้วไปเลย เป็นพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคก้าวไกล ก็มีปัญหาว่าแล้วจะให้ฝ่ายไหนเป็นนายกฯ รวมถึงพรรคก้าวไกลก็มีเรื่องยุบพรรคอยู่ ดังนั้นคดีนายกฯ เศรษฐา จะเป็นคดีที่ตัดสินแล้วจะเกิดเรื่องยุ่งมากที่สุด และหากถึงที่สุดจริงๆ ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องชู น.ส.แพทองธารเพื่อให้รัฐบาลยังเป็นชุดเดิมและไม่กระทบพรรคเพื่อไทย
“ที่คิดว่าเขาจะไม่ได้เป็นก็มีแต่คนบอกว่าเพราะยังจะไม่ได้เป็นนะ ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้นถ้าเกิดดุลอำนาจที่ทางพรรคเพื่อไทยกับคุณทักษิณ (ทักษิณ ชินวัตร-อดีตนายกรัฐมนตรี) ยังถึงอยู่ ก็มีการมองอยู่ตลอดเวลาว่าวันใดวันหนึ่งคุณอุ๊งอิ๊งก็จะต้องขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่วิเคราะห์กันว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กลับมาได้ เพราะมีการเจรจากันทางการเมืองโดยจำเป็นต้องให้นายทักษิณมาช่วยจัดการกับพรรคก้าวไกล เรื่องนี้ตนไม่อยากใช้คำว่าจัดการ คือเป็นวิธีที่ไม่ทำให้พรรคก้าวไกลได้อำนาจเท่านั้นเอง ไม่ใช่จัดการในความหมายว่าต่อกรหรือต่อสู้ และหากไม่นับบรรดากองเชียร์ ก็จะเห็นบุคคลระดับบนๆ ของพรรคเพื่อไทยตอบโต้พรรคก้าวไกลน้อยมาก
ทั้งนี้ ต่อข้อสังเกตที่ว่า พรรคก้าวไกลอยู่เฉยๆ ก็ได้คะแนนเพิ่มขึ้น ในขณะที่พรรคเพื่อไทยนับวันมีแต่คะแนนจะต่ำลง จริงๆก็เป็นเช่นนั้น เพราะการรวมตัวกันของบรรดาพรรคการเมืองที่มาเป็นรัฐบาลชุดนี้ ต้องยอมรับว่าในใจลึกๆ ของผู้สนับสนุนนั้นฝืนความรู้สึกอยู่แล้ว อาจจะยกเว้นอยู่บ้างกับพรรคภูมิใจไทย แต่พรรคอื่นๆ มีลักษณะที่ฝืนอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลข้ออ้างอะไร ทั้งหมดก็คือการไม่ให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล และยิ่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง สส. ในสภามากที่สุด อารมณ์ของสังคมอย่างไรก็ต้องไหลไปทางพรรคก้าวไกล
“ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลตั้งแต่ต้นที่พูดกันมา ถ้าจะหยุดยั้งก้าวไกลได้ พูดง่ายๆ การทำงานมันต้องเป็นที่ประทับใจจริงๆ ซึ่งผมก็เคยวิเคราะห์ตั้งแต่แรกว่าบังเอิญมันไม่ง่าย เพราะสถานการณ์โลก สถานการณ์เศรษฐกิจโลกโครงสร้างเศรษฐกิจไทย อะไรอีกหลายอย่างตอนนี้มันไม่ค่อยเป็นใจให้เท่าไร นั่นก็เป็นปัจจัยลบอยู่แล้ว และตัวรัฐบาลเองก็ผ่านมาก็นานพอสมควร ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่มีอะไรที่จะบอกได้ว่าเป็นผลงานที่ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าประทับใจ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ในฐานะที่เคยขับเคี่ยวทางการเมืองกันมาตลอด อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ ขยายความในส่วนนี้ว่า พรรคเพื่อไทย หรือพรรคการเมือง 2 รุ่นก่อนหน้า อย่างพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน สะดุดเพราะเรื่องของครอบครัวเจ้าของพรรค ที่ไปสร้างโจทย์หรือสร้างสมการที่ยาก ส่วนพรรคเพื่อไทย ณ ปัจจุบัน ที่ประกาศนโยบายหลายอย่าง มีผู้ตั้งข้อสังเกตตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ถึงความพร้อมดำเนินการว่ามีจริงหรือไม่?
เช่น การแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท หรือดิจิทัล วอลเล็ต ตอนรายงานกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เหมือนกับพรรคเพื่อไทยจะบอกว่ามีเงินอยู่แล้ว แต่คนที่ศึกษาเรื่องนี้จะบอกว่ามองไม่เห็น ท้ายที่สุดก็ต้องมาจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลหรือกู้เงิน หรือไปดึงงบประมาณส่วนอื่นมาใช้ หรือการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททันทีทั่วประเทศ คนก็มองเห็นว่ากระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ดังนั้นนโยบายที่คนรอคอยและรัฐบาลก็ต้องพยายามแก้ ก็ทำให้ชะงักงันไปหมด ซึ่งจริงๆ ปัญหาเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
และแม้รัฐบาลจะสามารถทำนโยบายที่หาเสียงไว้นั้นได้สำเร็จ ก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไร อย่างเรื่องค่าจ้าง ในความเป็นจริงราคาสินค้าก็แพงแซงไปนานแล้ว ส่วนการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ใช้งบประมาณ 5 แสนล้านบาท อย่างมากก็กระตุ้นได้ 1-2 ไตรมาส แต่ไม่มีใครคิดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งขึ้นมา หรือโครงการแลนด์บริดจ์ โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ซึ่งจะมีกาสิโนเป็นส่วนประกอบหนึ่ง ตนมองว่าไม่ใช่คำตอบสำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว แต่ที่เห็นด้วยคือ “หวยเกษียณ” เพราะเป็นการจูงใจให้ประชาชนออมเงิน
“อย่างกรณีการท่องเที่ยว อย่างที่บอกมันมีปัจจัยข้างนอกเยอะ แล้วก่อนหน้านี้ 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวเราคือจีน แต่จริงๆ ถ้าถามว่าประเทศไหนหลังโควิดแล้วกลับมาช้าที่สุดหรือยังไม่เต็มจำนวน ก็คือจีน ซึ่งก็มีปัจจัยภายในของเขาด้วย มันไม่ใช่สิ่งที่มาแก้ไขง่ายๆ ด้วยความรวดเร็ว รัฐบาลก็พยายามทำอะไรเยอะ เรื่องวีซ่า ก็จะเห็นพยายามจูงใจอยู่แล้ว จะบอกไม่เกิดผลก็ไม่เชิง อย่างไปดูหลายจังหวัดก็เริ่มบ่นมีต่างชาติมายึดครองเยอะอยู่เหมือนกัน แต่อย่างที่บอก ปัจจัยหลายอย่างตรงนี้ แล้วก็ดูความไม่สงบที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
ไล่ตั้งแต่ประเทศเพื่อนบ้านเรา ไปจนถึงยูเครน ถึงตะวันออกกลาง ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นใจทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันไม่ง่าย แต่ประเด็นมันอยู่อย่างนี้ โจทย์ของเขาจะไปเล็งผลเลิศถึงขั้นว่าคราวหน้าชนะก้าวไกลไหม? ถ้าดูอย่างนี้ยากแต่ขณะเดียวกันโจทย์ที่บอกว่าไม่ให้ก้าวไกลถึง 250 (จำนวนที่นั่ง สส. ในสภา) แล้วที่อยู่ด้วยกันนี่จับมือกอดคอกันต่อไปอันนี้อาจจะไม่ยากเท่าที่คิดก็ได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงความยากในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีผลต่อความหวังของพรรคเพื่อไทยในการเอาชนะพรรคก้าวไกล
แต่ในทางกลับกัน ความหวังที่พรรคก้าวไกลจะได้ สส. เกิน 250 ที่นั่ง ตั้งรัฐบาลได้ด้วยตนเองพรรคเดียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นายอภิสิทธิ์ ยกตัวอย่างเวทีเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งพรรคก้าวไกลต้องการใช้แสดงศักยภาพ แต่ที่ผ่านมาในหลายจังหวัดก็พบว่าการเมืองระดับท้องถิ่นกับระดับชาตินั้นไม่เหมือนกัน ส่วนคำถามว่า “เศรษฐกิจไทยจะมีปัญหาระดับวิกฤตแบบเดียวกับต้มยำกุ้ง (ปี 2540) อีกหรือไม่?” ต้องบอกว่า “คงไม่ถึงขนาดนั้น” เพราะปัจจัยอย่างทุนสำรอง หนี้ต่างประเทศ หนี้สาธารณะยังไม่ถูกประเมินว่าอยู่ในขั้นวิกฤต
แต่ที่น่ากลัวคือ “ปัญหาแบบซึมลึก” เช่น ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงเรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งที่ตนอยากเห็นในการแก้ไขปัญหา “อะไรที่ประคับประคองได้ก็ทำไป..แต่อย่าไปคาดหวังด้วยวิธีการแบบใช้ยากระตุ้น” แต่ต้องกลับมาดูว่าอะไรทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยเสียไป แล้วจะยกเครื่อง-ปรับรื้ออย่างไรก็เริ่มทำ อาทิ 1.กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคกับโครงสร้างเศรษฐกิจสมัยใหม่ หากไปดูสาขาธุรกิจที่อยากให้เข้ามา เรื่องการติดขัดกฎระเบียบแทบจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
2.ทักษะคน หากไม่ยกระดับทักษะให้นักลงทุนมั่นใจว่าเข้ามาแล้วจะมีคนทำงานให้ หรือเอื้อให้มีคนเก่งๆ เข้ามาทำงาน เรื่องนี้ก็ยังเป็นอุปสรรคอยู่ อย่างตนก็เคยเสนอว่า 1 หมื่นบาท แทนที่จะแจกเงินไปใช้ ก็ให้แจกเป็นคูปองภายใต้เงื่อนไขว่าให้ใช้เพื่อเรียนรู้เพิ่มทักษะเท่านั้น แบบนี้คือการนำเงินไปลงทุนแล้วทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็งขึ้นมา 3.โครงสร้างพลังงาน ธุรกิจสมัยใหม่จะไปลงทุนที่ไหน มีแนวโน้มว่าต้องการหลักประกันเรื่องพลังงานสะอาด แต่ประเทศไทยอาจยังสร้างความมั่นใจได้ไม่มากพอ เป็นต้น
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี