“ไทยสร้างไทย” ชี้คนไทยมีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีกินมีใช้ไปพร้อมๆ กัน ดูแล้วเลือนราง แถมของแพง ค่าใช้จ่ายพุ่ง รายได้เท่าเดิม สงสัยบริหารประเทศอย่างไรให้ประชาชนเรียกร้องเอารัฐบาล“ลุงตู่”กลับมาบริหารแทน “ฝ่ายค้าน” ยันมีข้อมูลยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงพอแล้ว แต่ขอดูอีกสักระยะคาดอยู่ในช่วงกันยายน-ตุลาคม
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2567 นายทิวากร สุระชน รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย(ทสท.) กล่าวภายหลังการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน ว่า ช่วงที่ผ่านมามีโอกาสพูดคุยกับพ่อค้าแม่ขายอยู่หลายครั้งได้รับฟังเสียงแห่งความทุกข์ ความยากลำบากในการทำมาหากิน การค้าการขายฝืดเคืองท่ามกลางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทั้งตลาดในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เผชิญปัญหาความซบเซาไม่ต่างกัน ราคาของอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็นข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง ซึ่งเหตุปัจจัยที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้าต้องขายแพงขึ้นเนื่องจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงต้นทุนในด้านอื่นๆเช่นค่าก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมัน ค่าไฟ และค่าขนส่ง ล้วนเป็นต้นทุนสำคัญทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน ตนมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ จ.หนองบัวลำภู ได้ลงพื้นที่สำรวจตลาดต่างๆในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ผู้คนมาจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดน้อยลงเพราะเนื่องจากสินค้าอุปโภคบริโภคทุกอย่างแพงขึ้น จึงอยากฝากไปถึงรัฐบาลช่วยเร่งแก้ปัญหาควบคุมราคาสินค้าเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่าให้เป็นตลาดร้าง ที่มีแต่คนขายไร้คนเดินซื้อด้วยความสามารถของพรรคเพื่อไทยในอดีตที่ประกาศไว้ ณ วันเลือกตั้งว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยจะทำให้ “คนไทยมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีกินมีใช้ ไปพร้อมๆกัน” นั้น ดูแล้วน่าจะเลือนราง
เผยประชาชนเรียกหา”บิ๊กตู่”
“ซ้ำร้ายค่าใช้จ่ายในครัวเรือนโดยเฉพาะ ไฟฟ้า ประปา และก๊าซหุงต้มไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ปรับขึ้นตลอดเวลา และการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลคาดหวังจะได้เห็นจากการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะมาเป็นพายุหมุนนั้น แม่ค้าร้านเล็กๆในตลาดตามชุมชนต่างๆล้วนแต่อยากได้เป็นเงินสด อยากได้เงินหมุนรายวัน ไม่ใช่ต้องรอเงินในระบบ หากเป็นดังนี้เสียงสะท้อนต่างๆที่ได้ยินไม่อยากจะเชื่อว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะถูกเปรียบเทียบว่าบริหารงานช่วยเหลือพ่อค้าแม่ขายสู้รัฐบาลลุงตู่ไม่ได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ราคาสินค้าให้กับพี่น้องประชาชนโดยด่วน เพราะบริหารประเทศมาเกือบ 1 ปี ประชาชนเริ่มโหยหารัฐบาลลุงตู่แล้ว” นายทิวากร กล่าว
โต้”วรชัย”ปมเหน็บเศรษฐา
นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายวรชัย เหมะ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความเห็นเชิงแนะนำให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เลิกตะบี้ตะบันลงพื้นที่ และแบ่งเวลานั่งทำเนียบตามงานข้าราชการ มุ่งแก้ปัญหาปากท้อง ว่า ทุกคนในพรรคสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นได้ในมุมมองของแต่ละคน แต่นายเศรษฐาก็ตั้งใจที่จะทำงานจริง และตั้งใจที่จะลงไปถึงปัญหาของพี่น้องประชาชนจริงๆ ไม่ใช่ฟังแค่จากข้าราชการ ซึ่งหากผู้บริหารไม่ลงพื้นที่ไปสัมผัสถึงชาวบ้านเลยก็จะมองไม่เห็นถึงปัญหา ซึ่งเมื่อนายเศรษฐาลงพื้นที่ชาวบ้านก็จะนำปัญหามาสะท้อนให้ฟัง และท่านก็จะนำมาแก้ไข
เมื่อถามว่า มองว่าการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีมีข้อดี ข้อเสีย อย่างไรบ้าง นายณณัฏฐ์กล่าวว่า ข้อเสียก็แล้วแต่มุมมองที่จะมอง ซึ่งการลงพื้นที่ของนายเศรษฐาก็มีเจตนาดีที่จะลงไปแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ซึ่งตนมองว่านี่คือข้อดี และอย่าลืมว่าเราเข้ามาในจุดที่บางปัญหาเป็นเรื้อรัง คนที่เข้ามาทำงานใหม่ก็ต้องปรับแก้
“นายกฯ ไม่ได้อยู่บนหอคอยงาช้างที่ไม่ลงไปรับรู้ปัญหาของพี่น้องประชาชน แต่ทุกวันนี้ลงพื้นที่ก็เพื่อลงไปรับทราบปัญหาของพี่น้องประชาชน โดยไม่ว่าพื้นที่นั้นจะมี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะท่านเอาปัญหาของประชาชนเป็นที่ตั้ง” นายณณัฏฐ์กล่าว
เศรษฐาลงพื้นที่ไม่ได้ไปเที่ยว
เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะต้องมีการพูดคุยกับนายเศรษฐาเพื่อปรับวิธีการทำงานให้สมดุลกัน ระหว่างงานพื้นที่ งานในทำเนียบรัฐบาล และในสภาหรือไม่ นายณณัฏฐ์กล่าวว่า เรามีการประชุมกันทุกสัปดาห์อยู่แล้ว เราได้มีการนำปัญหาและข้อเรียกร้องต่างๆ และนายเศรษฐาก็ย้ำเสมอว่าใครมีอะไรก็สามารถบอกได้เสมอ นายเศรษฐาไม่ใช่น้ำที่เต็มแก้ว พร้อมที่จะปรับและนำปัญหาของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ย้ำว่านายเศรษฐาลงพื้นที่ไม่ใช่ไปเที่ยว แต่ไปรับฟังปัญหาในพื้นที่จริงๆ เพราะทุกวันนี้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนคือเรื่องสำคัญ
เมื่อถามถึง กรณีที่ฝ่ายค้านเองก็จี้ให้นายกรัฐมนตรีเข้าไปตอบกระทู้ในสภาฯ นายณณัฏฐ์กล่าวว่า ยืนยันว่านายเศรษฐาให้ความสำคัญกับสภา ท่านไปสภาตลอด ไม่เคยหนี บางครั้งท่านก็มีภารกิจในช่วงเช้า หากนายเศรษฐาว่างก็จะเข้าสภา และเมื่อเข้าสภานายเศรษฐาก็ไม่ใช่เปิดรับเฉพาะ ส.ส.เพื่อไทยให้มาสะท้อนปัญหา แต่ได้เปิดให้พรรคร่วมรัฐบาลหรือแม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้านเข้ามาสะท้อนปัญหาด้วยเพื่อที่จะได้นำไปแก้ไขให้พี่น้องประชาชน
กก.มีข้อมูลเพียงพอยื่นซักฟอก
นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ขณะนี้เรามีข้อมูลเพียงพอแล้วทั้งการบริหารราชการแผ่นดินหรือการใช้งบประมาณของรัฐมนตรีแต่ละบุคคลซึ่งจะนำไปสู่การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ส่วนเป็นการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งคณะ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลนั้น ในส่วนนี้เรายังไม่ได้สรุปรายละเอียด เพราะจะต้องรอดูไปอีกสักระยะ และทางผู้นำฝ่ายค้านคงจะมีการเรียกหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านแต่ละพรรคมาสรุปอีกครั้ง ยืนยันว่าขณะนี้ข้อมูลต่างๆ รวมถึงพยานหลักฐานเพียงพอที่จะยื่นญัตติแล้ว ส่วนจะยื่นเมื่อไหร่นั้นคงจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่คาดว่าน่าจะอยู่ภายในเดือนกันยายนหรือตุลาคม
ไม่หวั่นต้องชน”บ้านใหญ่”
ที่จังหวัดนนทบุรี พรรคก้าวไกลจัดกิจกรรม “ก้าวCAMP” ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ออกแบบให้สมาชิกพรรค ร่วมแสดงความคิดเห็นและตั้งหัวข้อในการพูดคุยกันแบบไม่กำหนดล่วงหน้า โดยมี นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล นางสาวเบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สส.พรรคก้าวไกล และสมาชิกพรรคเข้าร่วมกิจกรรม
นายณัฐพงษ์ เปิดเผยว่า งานดังกล่าวเป็นการจัดงานเพื่อให้สมาชิกพรรค และบุคคลที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำนโยบาย เพื่อเดินทางไปกับพรรคก้าวไกล ซึ่งจุดมุ่งหมายของพรรคก้าวไกล ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ คือให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุด เข้ามามีส่วนร่วมมีปากมีเสียงทางการเมืองมากที่สุด ซึ่งแต่ละครั้งที่จัดมาก็ได้อาสาสมัครเพิ่มขึ้น 20 – 30 คน และอีกเป้าหมายหนึ่ง หากพรรคก้าวไกลได้เป็นฝ่ายบริหาร จะต้องมีทีมงานเข้ามาสนับสนุนการทำงาน ซึ่งถ้าใครมีความโดดเด่น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมาร่วมงานกันในฐานะว่าที่ผู้สมัคร
เปิดยุทธศาตร์การเลิอกตั้ง
นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงความพร้อมสนามเลือกตั้งท้องถิ่นที่ได้มีการอบรมว่าที่ผู้สมัคร ทั้ง อบจ. อบต. เทศบาลนคร ประมาณ 70 คน เกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณท้องถิ่น จัดทำนโยบายสาธารณะ ว่า การชิงเปิดตัวผู้สมัครก่อนอาจทำให้เสียเปรียบทางการเมือง แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกลผ่านขั้นตอนการคัดเลือกมีความพร้อมแล้วใน 20 จังหวัด รวมถึงเตรียมเปิดตัวว่าที่ นายก อบจ.ลำพูนเร็วๆนี้ ยืนยันว่ากลยุทธ์การเลือกตั้งท้องถิ่นของพรรคก้าวไกลไม่ได้กลัวเกมบ้านใหญ่ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองได้ ตั้งแต่การเมืองระดับท้องถิ่นไปถึงระดับประเทศ คือการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด โจทย์สำคัญที่สุดของการเลือกตั้งท้องถิ่น คือทำให้ “กระสุนย่อมแพ้กระแส” หากรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกนายกฯ อบจ. และเลือกตัวแทนจังหวัดให้ได้มากที่สุด พร้อมยอมรับว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นเชื่อมโยงระดับชาติ เพราะนโยบายสาธารณะของท้องถิ่นจะต้องสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี