‘3 รัฐมนตรีคลัง’ เรียงหน้าแจงดิจิทัลวอลเล็ต! ‘พิชัย’ ยันจัดสรรเม็ดเงินกระตุ้นศก. โต้ ‘คิดไปทำไป ด้าน ’จุลพันธ์’ ยันเปลี่ยนแหล่งให้เหมาะสม ไม่ขัดกฎหมาย พิจารณารอบคอบ อุดช่องโกง วางกรอบปลายปีเงินถึงมือชาวบ้าน ขณะที่ ‘เผ่าภูมิ’ ชี้เหมือนเหรียญ 2 ด้านที่มองไม่ตรงกันถึง 5 ด้าน
17 ก.ค.2567 เมื่อเวลา10.45น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมือง รองประธานสภาผู้แทนราษฎน คนที่2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ.... วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอเพื่อใช้ในโครงการเติมเงินหมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'จุรินทร์'ถล่มยับรัฐบาลโหลยโท่ย เตือนหายนะ'ดิจิทัลวอลเล็ต'จะเกิดพายุหนี้มากกว่าพายุหมุน ศก.)
โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงถึงการเปลี่ยนแหล่งเงินว่า เพื่อให้เหมาะสม เพราะเป็นไปตามการพิจารณาหน่วยงานได้พิจารณาว่า สามารถบริหารจัดการได้ตามกรอบของวงเงินงบประมาณ ส่วนการปรับกลไกและแหล่งเงิน ทั้งนี้การใช้กลไกมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง อาจมีข้อจำกัดในรายละเอียดของการใช้เงิน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ฐานะฝ่ายบริหารไม่ต้องการ จึงเป็นสาเหตุที่เปลี่ยนเพื่อใช้ช่องทางอื่นที่ดำเนินการได้ ทั้งนี้รัฐบาลยืนยันในกรอบเวลาดำเนินการปลายปีนี้ เงินถึงมือประชาชนแน่นอน แม้จะปรับรายละเอียด เช่น แหล่งเงิน ซึ่งยืนยันว่าระบบเสร็จได้ทัน ทั้งเงินมีเพียงพอทำโครงการให้ประชาชน 50 ล้านคน หรือวงเงิน 5 แสนล้านบาท
“ที่บอกว่าสุ่มเสี่ยงขัดกฎหมาย คำว่าสุ่มเสี่ยง รู้ว่าไม่ได้ผิด ที่ยกมานั้นชี้แจงแทนว่าตามกรอบวินัยการเงินการคลังและกรอบงบประมาณ สิ่งที่ทำนั้นไม่ใช่ ครม. 3-5 คนคิด แต่ผ่านความเห็นและพิจารณาจำนวนมาก ยืนยันว่าเป็นไปตามกรอบกฎหมายจึงเดินหน้ามาในแนวทางนี้” รมช.คลัง กล่าว
รมช.คลัง กล่าวต่อว่า การเดินหน้าโครงการนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่การสงเคราะห์ ดังนั้นไม่ต้องถามว่าเป็นกลุ่มเปราะบางหรือไม่ ส่วนสถานการณ์วิกฤตที่ถกเถียง แม้เราจะเติบโต แต่เติบโตต่ำ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดี จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องใช้เงินเพื่อกระตุ้น ดังนั้นต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าประชาชนใช้เพื่อเป็นประโยชน์กับชีวิตของประชาชน ส่วนข้อจำกัดที่มีในรายละเอียด ยืนยันว่าไม่เคยมีนโยบายของรัฐในอดีตที่ตัวคูณสูงเท่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต
“ที่เป็นห่วงว่าตั้งงบประมาณขาดดุลสูงเต็มเพดาน แต่ไม่มีความเสี่ยงของกลไกงบประมาณ เพราะมีกฎหมายที่รองรับสถานการณ์วิกฤตของประเทศทุกสถานการณ์ กรณีที่รัฐบาลหากจัดเก็บพลาดเป้า มีกลไกตามกฎหมายที่รองรับ สามารถเดินหน้าได้ ไม่มีเหตุขาดดุลเต็มเพดาน กู้ไม่ได้ หากหน่วยงานขอเงินปลายปีแล้วจะไม่ได้ ไม่เคยมีเกิดขึ้น” รมช.คลัง กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า ขอยืนยันว่าได้ทำโครงการฯอย่างละเอียดรอบคอบ อุดช่องที่จะทำให้เกิดการทุจริตเหมือนที่เคยเกิดกรณีที่ผู้รับเงินใช้เงินผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ หรือผิดจากกลไกที่กำหนด ดังนั้นยืนยันว่าไม่มีทุจริต ขณะที่กล่าวหาว่าตั้งใจแจกเงินผู้อายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะอีก 2 ปีสามารถเลือกตั้งได้ หากรัฐบาลคิดแบบนั้น ควรต้องจ่ายคนที่อายุ 14 ปีเพราะเมื่อรัฐบาลหมดวาระสามารถเลือกตั้งได้
ต่อมาในเวลา11.08 น. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลุกขึ้นชี้แจงกรณีการแจกเงินในครั้งนี้จะเป็นการสร้างหนี้ ว่า หากมีการใช้งบประมาณ โดยที่มีการเก็บรายได้ไม่เพียงพอ ก็ต้องมีการกู้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะใช้จากตัวงบประมาณเอง หรือ มาตรา 28 ก็ตาม นี่ก็คือภาระหนี้ในวันนี้ และหนี้ที่ต้องกู้ในอนาคต แต่สิ่งที่เรามองเห็น คือความจำเป็นในการที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจของเรามีลักษณะที่หดตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราก็ทราบปัญหากันลึกๆ ว่า ปัญหานี้ หรือที่บางคนเรียกว่า เป็น 10 ปีที่สูญเปล่า แล้วเราไม่ได้ทำอะไร แต่วันนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว วิกฤตเกิดขึ้นแล้ว เป็นวิกฤตที่ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่เป็นวิกฤตที่เรามองเห็นอยู่ข้างหน้าว่า หากเราไม่ทำอะไรที่จะเป็นการกระตุ้น ไม่ช้าก็เร็ววิกฤตจะมาแน่นอน
นายพิชัย กล่าวถึงผลพวงของวิกฤติเศรษฐกิจที่จะกระทบกับ 3 กลุ่ม คือ 1.ประชาชน หรือหนี้ครัวเรือน ที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.หนี้ของร้านค้า ซึ่งฝ่ายหนึ่งคือผู้บริโภคเอง ที่มีสาเหตุมาจากการมีรายได้ไม่เพียงพอ และมีเหตุผลมาจากรายได้ประเทศที่ต่ำเกินไป เราจึงต้องมาแก้ปัญหาที่รายได้ส่วนนี้ และ 3.เมื่อ สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว กำลังซื้อลดลง เงินเฟ้อขึ้น ตนเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ที่มีหน้าที่ในการดูแลทั้งภาคผู้บริโภคและภาคผู้ผลิต สิ่งที่เราทำคือก็ต้องสร้างหนี้ เพื่อแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม การเพิ่มหนี้ในครั้งนี้ ก็ยังอยู่ในวิสัยที่คิดว่า หนี้มากหรือน้อยไปหรือไม่ จากความสามารถในการชำระคืนของประเทศ ย้ำว่า วันนี้มีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างต่อเนื่อง นี่จึงเป็นรายจ่ายพิเศษเพื่อกระตุ้น และแม้หลายคนจะบอกว่า สิ่งนี้จะไปสู่นายทุนใหญ่ แต่สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น สุดท้ายก็วนกลับมาสู่รายย่อยแน่นอน
นายพิชัย กล่าวว่า สำหรับที่สมาชิกบอกว่า ทำไมไม่แก้ที่โครงสร้างนั้น ตนขอถามว่า เราต้องรู้ก่อนว่าทำให้ใคร และใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาเพื่อเรื่องอะไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อยู่ระหว่างการพิจารณา และระหว่างการเซ็นสัญญาบีโอไอ ที่จะเป็นตัวบอกว่า ปัญหาโครงสร้างที่ควรแก้คืออะไร และจะออกผลควบคู่ไปกับกระบวนการผลิตและการลงทุน เพื่อให้เกิดขีดความสามารถในการแข่งขัน
"ลงวันนี้ไม่เกิดทันที กระตุ้นไม่ได้ทันที แต่จำเป็นต้องทำ ทำในจังหวะที่เหมาะสม สอดคล้องกับผู้ที่มาใช้ รองนายกรัฐนตรีและรมว.คลัง กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า สำหรับกรณีที่บอกว่า มีความล่าช้า คิดไปทำไป ทำไมไม่คิดให้จบทีเดียวนั้น ตนขอปฏิเสธว่า ไม่ใช่คิดไปทำไป เราคิดตั้งแต่วันแรกแล้ว ว่าเป็นนโยบายที่ต้องทำ เราคิดตลอดเสมอว่าจะต้องปรับปรุง เพื่อหาว่ามีทางไหนบ้างที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และเป็นการจัดสรรงบประมาณในจังหวะเวลาที่เราเลือกแล้ว เพื่อนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่มี ถ้าเราเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องปรับปรุง เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต ก็เป็นทางเลือกแรกที่ต้องใช้ก่อน แต่ถ้าเรื่องการหาเม็ดเงิน เพื่อปรับปรุงมาทำโครงการที่จำเป็นเช่นเดียวกัน ในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็ให้ความสำคัญเป็นอันดับที่สอง ยืนยันว่า เป็นการจัดสรรเม็ดเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ชี้แจงว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเหมือนเหรียญ 2 ด้านที่มองไม่ตรงกัน 5 ด้านคือ 1.เศรษฐกิจประเทศยังไม่ต้องการกระตุ้นอย่างหนัก แต่รัฐบาลมองว่า มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.การกู้เงินมาใช้จ่าย ที่มองว่ามีการกู้เงินเต็มเพดานแล้ว แต่ความจริงหนี้สาธารณะประเทศไทยอยู่ที่ ร้อยละ 64 นั้น มาจากการใช้คำนิยามที่เข้มข้นกว่ามาตรฐานสากล และไอเอ็มเอฟเพราะนับหนี้สาธารณะในส่วนที่สากลไม่นับคือ รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นภาระต่อรัฐบาล ถ้าเรานับหนี้สาธารณะตามคำนิยามสากลแล้ว หนี้สาธารณะประเทศไทยอยู่แค่ ร้อยละ 58.4 ยังอยู่ในระดับต่ำ ไม่มีปัญหาใดๆ 3.การมองว่าผลตอบแทนได้ไม่คุ้มเสีย ยกตัวเลขว่า ลงทุน 5แสนล้านบาท แต่ได้ผลตอบแทนแค่ 3.5แสนล้านบาท เป็นการมองที่ผิดพลาดทางวิชาการ การคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ได้มีแค่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ข้อมูลพื้นฐานประชาชนจะเข้ามาอยู่ในระบบ ทำให้มาตรการภาครัฐหลังจากนี้สามารถตรงไปช่วยเหลือประชาชนได้โดยตรง ต้องเอาไปรวมอยู่ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการด้วย
รมช.คลัง กล่าวต่อว่า 4.การมองว่า เอื้อประโยชน์รายใหญ่ แต่รัฐบาลมองว่า การกำหนดรัศมีการใช้เงิน 4 กิโลเมตร เพราะต้องการให้เงินไหลเข้าชุมชน ไม่เข้าสู่เมืองใหญ่ ทุกเงื่อนไขทำให้เงินลงสู่ชุมชนมากสุด 5.การไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆร่วมด้วย ยืนยันว่า รัฐบาลมีทั้งมาตรการอัดเม็ดเงินจริง และการอัดเม็ดเงินลักษณะสินเชื่อ แต่มีผลทางเศรษฐกิจคล้ายกัน (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'ศิริกัญญา'บอกรัฐบาลลุยไฟเพิ่มงบฯ 1.22 แสนล้านเสี่ยงผิดกฏหมาย จี้พรรคร่วมโหวตคว่ำ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี