‘ไอลอว์’ร้อง ‘กมธ.ความมั่นคงฯ‘สอบ‘กอ.รมน.’เอี่ยวใช้สปายแวร์ฯ ล้วงข้อมูลประชาชน ชี้เป็นอาวุธสงครามร้ายแรงแต่ไทยใช้ผิดวัตถุประสงค์ นักวิชาการ-นักกิจกรรมโดนโจมตีเพียบ ‘โรม’จ่อบรรจุวาระเข้าที่ประชุม-เรียกหน่วยงานเกี่ยวข้องชี้แจง
เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2567 ที่รัฐสภา นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) เข้ายื่นหนังสือถึงนายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ เพื่อขอให้ตรวจสอบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ใช้สปายแวร์ ล้วงข้อมูลประชาชน
โดยนายยิ่งชีพ กล่าวว่า เป็นเวลากว่า 2 ปีที่เราค้นพบ และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่าในประเทศไทยมีการใช้สปายแวร์ชื่อเพกาซัส
ซึ่งเป็นอาวุธสงครามของประเทศอิสราเอล อาวุธนี้ถูกเอามาใช้โดยไม่ได้เป็นการต่อต้านการก่อการร้ายหรืออาชญากรระดับโลกตามวัตถุประสงค์ของมัน แต่ถูกเอามาใช้กับนักศึกษา นักวิชาการ นักกิจกรรมและคนทำงานด้านประชาธิปไตยที่เห็นแตกต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้ว มีอย่างน้อย 35 คนที่เป็นผู้ชุมนุม เป็นกลุ่มคนที่แสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยกับการบริหารพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกสอดส่องล้วงข้อมูลโทรศัพท์ด้วยสปายแวร์เพกาซัส สปายแวร์ตัวนี้เมื่อเข้ามาในโทรศัพท์มือถือแล้ว เจ้าของเครื่องจะไม่รู้ตัวเลย และคนที่ควบคุมสปายแวร์สามารถเข้าถึงทุกอย่างทั้งการแชต รูปภาพ คลิปวิดีโอ และมาครอบครองเครื่องของเรา สั่งเปิดกล้อง เปิดไมโครโฟน ให้มือถือกลายเป็นเครื่องดักฟังได้ ถือเป็นอาวุธร้ายแรงที่น่ากลัวมาก และพบว่ามีการใช้กับประชาชนคนไทย
นายยิ่งชีพ กล่าวว่า ตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วเราก็ได้พยายามเรียกร้องให้สภาฯ และหลายๆ หน่วยงานร่วมกันตรวจสอบ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้มีข้อสรุปมาแล้วว่ามีการใช้สิ่งนี้กับประชาชนคนไทยจริง เราเคยยื่นหนังสือกับ กมธ.ในสภาชุดที่แล้วให้ตรวจสอบว่าตกลงหน่วยงานไหนเป็นผู้ใช้งานสปายแวร์เพกาซัสกันแน่ ใช้กับใครบ้าง และใช้เพื่อล้วงข้อมูลอะไรของประชาชนบ้าง แต่สภาฯ ชุดที่แล้วสิ้นสุดอายุไปก่อน ยังไม่ได้มีผลการตรวจสอบออกมา ในรัฐบาลชุดใหม่ที่เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง มี สส.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ก็น่าจะช่วยกันตรวจสอบการทำงานหน่วยงานของรัฐไทยในเรื่องนี้อย่างเข้มข้น และจริงจัง
นายยิ่งชีพ กล่าวต่อว่า ล่าสุดเรามีข้อมูลเกี่ยวข้องกับ กอ.รมน. ซึ่งการสแกนอินเทอร์เน็ตของหน่วยงานที่ชื่อว่าซิติเซน แล็บ ของประเทศแคนาดา ตรวจสอบพบว่า กอ.รมน. มีความเชื่อมโยงกับบริษัทเอ็นเอสโอ ผู้ผลิตสปายแวร์เพกาซัสบางประการ นี่คือข้อมูลที่เราทราบ แต่ กอ.รมน.ก็ไม่เคยออกมายอมรับหรือปฏิเสธในเรื่องนี้ จึงมาขอร้อง และขอความร่วมมืออำนาจของ กมธ.ความมั่นคงฯ ที่จะตรวจสอบหน่วยงานของรัฐที่ทำงานด้านความมั่นคงทั้งหลายว่าใครใช้สปายแวร์เพกาซัสกับประชาชนหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดต่อกฎหมายไทย ทั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกฎหมายระหว่างประเทศ
ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนทราบว่าในสภาฯ ชุดที่แล้ว เรื่องสปายแวร์เพกาซัสเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญ ที่มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางในสภา นำไปสู่การตัดงบประมาณของหน่วยงานตำรวจที่เกี่ยวข้องในเรื่องการปราบปรามยาเสพติด เป็นผู้ของบประมาณฯ ในเรื่องนี้ และได้มีการตัดงบไป แต่จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่ได้เห็นว่าเอกสารงบประมาณฯ มีเครื่องมือในลักษณะดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งต้องย้ำว่าการที่มันไม่ได้ระบุในเอกสารงบประมาณไม่ได้แปลว่าไม่มีเครื่องมือเช่นนี้ เพราะมันอาจจะถูกเรียกอย่างอื่นหรือตรวจไม่เจอก็เป็นไปได้ เรื่องนี้เราให้ความสำคัญ เพราะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ไม่ใช่เฉพาะกับนักการเมือง นักกิจกรรมทางการเมือง แม้กระทั่งสื่อมวลชน และประชาชนทุกคนก็สามารถตกเป็นเหยื่อได้ ที่สำคัญเครื่องมือในลักษณะนี้มีราคาแพงมาก เกี่ยวพันกับการใช้เงินภาษีของประชาชน และเกี่ยวพันกับการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย
ดังนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ ซึ่งนายปกรณ์ อารีกุล อนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและทบทวนกฎหมายด้านความมั่นคง ในกมธ.ความมั่นคงฯ และนายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม.พรรคก้าวไกล และโฆษก กมธ. ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกโจมตีด้วยเครื่องมือนี้มาก่อน ในส่วนของตนยังไม่ทราบว่าถูกโจมตีด้วยหรือไม่ เพราะยังไม่ได้นำโทรศัพท์ไปตรวจสอบ ทั้งนี้เบื้องต้นจะนำเรื่องเข้าหารือ และบรรจุเข้าสู่การพิจารณาชอง กมธ. และจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี