"ก้าวไกล"บี้ถาม"รมว.พลังงาน" มาตรการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง หวั่นกองทุนน้ำมันแบกส่วนต่างราคา สุ่มเสี่ยงล้มละลาย ถามกล้าขอพรรคร่วมรัฐบาลใช้งบกลางแก้ค่าไฟแพงอุ้มช่วยปชช.หรือไม่ ด้าน"พีระพันธุ์"วอนสภาฯช่วยผ่านกม.กองทุนน้ำมัน ให้ราคาถูกลง ขณะที่ค่าไฟประชาชนพอใจหน่วยละ 4.18 บาท
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยในช่วงกระทู้ถามสด นายศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถาม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ถึงราคาน้ำมันแพง ที่ประชาชนต้องจ่ายแพง ถ้าเป็นแก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละเกือบ 40 บาท น้ำมันดีเซล ลิตรละ 33 บาท ซึ่งตนเชื่อว่าทุกคนเคยได้ยินเสียงกร่นด่าของประชาชนว่าราคาน้ำมันแพงขนาดนี้พวกเขารับไม่ไหว ล่าสุดที่รัฐออกมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ ลิตรละ 33 บาท แต่รัฐมีมาตรการมาช่วยกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซินหรือไม่ เพราะมาตรการที่ออกมากำลังสร้างผลกระทบเชิงลบในระยะยาว จึงอยากถามว่า รมว.พลังงาน ไม่มีมาตรการที่ดีกว่านี้แล้วหรืออย่างไร เพราะตนเห็นว่าท่านกำลังทำแบบเดิมๆ ที่ให้กองทุนน้ำมันเข้ามาแบกรับส่วนต่างทางด้านราคา และตอนนี้กองทุนน้ำมันติดลบกว่า 1.1 แสนล้านบาท ถือเป็นกองทุนที่สุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลายเป็นอย่างยิ่ง โดยที่กองทุนไม่มีแผนการชำระหนี้ หรือที่จะมีการลดภาษีสรรพสามิตร ท่านทราบหรือไม่ เพราะกรมสรรพสามิตรรายงานว่า 9 เดือนที่ผ่านมาเก็บรายได้พลาดเป้าไปแล้ว 6 หมื่นล้านบาท มาจากภาษีน้ำมันอย่างเดียว 2.5 หมื่นล้านบาท ถ้ายังจะใช้กลไกลเดิมลดภาษีสรรพสามิตรแบบนี้ประเทศก็จะเก็บรายได้ได้น้อยลง จึงอยากถามพรรคร่วมรัฐบาลว่าถ้าเก็บรายได้น้อยลงแล้วเงินที่จะใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะพอหรือไม่
"ขอถาม รมว.พลังงาน ว่า นอกจากกลไกลอย่างกองทุน หรือการลดภาษีสรรพสามิตรแล้ว มีมาตรการหรือวิธีการอื่นอย่าไรที่จะช่วยลดราคาน้ำมันอย่างไร และมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะผู้ใช้มอเตอร์ไซด์อย่างไร" นายศุภโชติ กล่าว
ด้าน นายพีระพันธุ์ ชี้แจงว่า ก่อนหน้าที่ตนจะมาเป็น รมว.พลังงาน ก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป ไม่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร แต่เมื่อตนมาเป็น รมว.พลังงาน ก็เห็นปัญหาต่างๆ ที่เป็นประเด็นมาถึงวันนี้ รวมถึงภาระของกองทุนน้ำมัน ไม่เคยมีใครคิดจะแก้ปัญหาเลยถึงต้องเป็นแบบนี้ เพราะกฎเกณฑ์กติกาที่ใช้มากว่า 40 ปี โดยที่ไม่มีใครคิดจะปรับปรุงแก้ไข จึงใช้แต่เงินกองทุนน้ำมัน อย่างไรก็ตามเนื้อน้ำมันทุกประเทศเหมือนกันหมด แต่ราคาที่ขายหน้าปั๊มแต่ละประเทศที่ต่างกันอยู่ที่รัฐบาล และวิธีการจัดการที่สำคัญคือการเก็บภาษีจากรัฐบาล จึงทำให้ราคาปลายทางต่างกัน แต่ประเทศไทยพิเศษกว่าประเทศอื่นเพราะในอดีตที่ผ่านมาราคาแก๊สโซฮอลล์ ถูกกว่าน้ำมัน นโยบายเพื่อช่วยเกษตรกร และวันนี้นโยบายดังกล่าวก็ยังอยู่ แต่ปัจจุบันราคาเอทานอลผสมกับไบโอดีเซล แพงกว่าน้ำมัน ทำให้เราต้องเอาของที่แพงกว่าน้ำมันมาผสมกับของที่ถูกกว่า เพราะฉะนั้นเนื้อน้ำมันของเราราคาประมาณลิตรละ 21 บาทกว่า เพราะมีสองส่วนนี้มาผสม
รองนายกฯ และรมว.พลังงาน กล่าวต่อว่า ส่วนในเรื่องภาษี หากจะช่วยประชาชนก็ต้องเก็บพอสมควร แต่ถ้าต้องการหารายได้เข้ารัฐก็ต้องเก็บมาก ซึ่งส่วนทางกัน ดังนั้นจะทำอย่างไรถึงจะอยู่ในความพอดี ปัจจุบันมี 3 ประเทศที่เก็บภาษีสรรพสามิตร ไทยเก็บ 5.99 บาท สิงคโปร์ 5.54 บาท เวียดนาม 1.70 บาท แต่รายได้ปราชากรต่อหัวต่างกัน และของไทยยังมีภาษีบำรุงท้องถิ่นอีก 60 สตางค์ รวมทั้งยังมีภาษีมูลค่าเพิ่ม และเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน เมื่อผู้ค้าน้ำมันจ่ายภาษีตรงนี้ แล้วเอาไปขายให้ปั้มน้ำมัน ก็โดนภาษีอีกรอบ ระบบภาษีของเราทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาษีสองต่อ ตรงนี้ทำให้ราคาเพิ่มมาอีกเกือบ 20 บาท จึงทำให้น้ำมันแก็สโซฮอล์ราคาเกือบลิตร 40 บาท ส่วนดีเซลถ้าไม่ตรึงราคาก็ไม่ใช่ลิตรละ 33 บาท ตนจึงไม่คิดว่าการใช้เงินมายันน้ำมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมาชาติประชาชนก็ต้องแบกรับภาระ จึงต้องคิดว่าจะแก้ปัญหาอะไร ตนจึงกำลังแก้ไขกฎหมายกองทุนน้ำมันมาใหม่ เพื่อให้รู้ต้นทุนน้ำมัน เพื่อไม่ให้ประชาชนแบกรับภาระมากเกินไป และรัฐมีรายได้ ดังนั้นเมื่อกฎหมายฉบับนี้เข้าสภาฯ ขอให้ช่วยให้ผ่านด้วย
นายศุภโชติ ยังได้ตั้งคำถามเรื่องปัญหาค่าไฟแพง ว่า สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เผยว่า ค่าไฟมีสิทธิ์จะขึ้นไปถึงหน่วยละ 4.60 บาท หรือแย่ที่สุด หน่วยละ 6 บาท ทั้งที่ต้นทุนอยู่ที่ หน่วยละ 4 บาท การที่ กกพ.เรียกเก็บ 4.60 บาท เป็นอย่างน้อย เพราะต้องเอาเงินไปใช้หนี้จากมาตรการในอดีตที่ให้ กฟผ.และ ปตท.แบกรับหนี้ก้อนนี้เอาไว้ จนปัจจุบันหนี้ใกล้เคียงกับกองทุนน้ำมันแสนกว่าล้านบาท แต่รัฐบาลยังไม่มีมติชำระหนี้ก้อนนี้ เพื่อตรึงค่าไฟ้อยู่ที่ 4.18 บาท หากในอนาคตยังใช้กลไกลแบบเดิมหนี้ก็จะขยายไปถึง 2 แสนล้านบาทได้ จึงอยากถามว่าจะเอาอย่างไรกับหนี้เก่าและหนี้ใหม่ในอนาคต
"ขอเสนอให้กล้าคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ว่าจำเป็นหรือยังที่ต้องตั้งงบกลางเพื่อช่วยลดค่าไฟให้กับประชาชน แทนที่จะเอาเงินไปทำดิจิทัลวอลเล็ต อย่าเอางบกลางไปทำนโยบายของพรรคเขาเพียงพรรคเดียว ถ้าพรรคใหญ่ไม่ให้ใช้งบกลาง ท่านก็ต้องคุยกับนายทุนพลังงาน เจ้าของโรงไฟฟ้า ที่ขายไฟฟ้าไม่เป็นธรรมกับประชาชน"
นายพีระพันธุ์ ชี้แจงว่า ปัญหาของไฟฟ้าคือสัญญาที่ทำกันก่อนที่ตนจะมาเป็นรัฐมนตรี ปัจจุบันได้ให้ คณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวกับดูสัญญาต่างๆว่าจะสามารถปรับแก้อย่างไรได้บ้าง ส่วนเรื่องภาระของการไฟฟ้า เป็นหน่วยงานของรัฐไม่จำเป็นต้องหากำไรมาแบ่งปันให้ผู้ถือหุ้น แต่ต้องมีเงินน้ำส่งกระทรวงการคลัง แต่ต้องดูแลประชาชนไม่ให้แบกภาระ ซึ่งราคาค่าไฟ 4.18 บาท ในงวดปัจจุบัน ตนคิดว่าประชาชนก็พอใจ แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ใคร ในงวด 4.18 บาทการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมีเงินไปใช้หนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท งวดต่อไปอีกประมาณ 3 พันกว่าล้านบาท
"จากที่มีการพูดคุยกันการไฟฟ้าฯ และ ปตท.คิดว่าสามารถดูแลต่อไปได้เพื่อให้ประชาชนไม่ลำบาก จึงไม่ต้องเป็นห่วง แต่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้ราคาค่าไฟถูกลง" นายพีระพันธุ์ กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี