ไม่ดิ่งเหว...แต่ค่อยๆ ลงต่ำแบบหยุดไม่อยู่!!! "ธีระชัย"อธิบาย"เศรษฐกิจไทย"เดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ว่า หากไปถามพ่อค้า-แม่ค้า หรือคนทำธุรกิจ จะได้รับเสียงสะท้อนว่าขณะนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ไม่ใช่ลักษณะการตกเหวดิ่งลงไป
กล่าวคือ ป็นการค่อยๆ เดินลงบันไดไปเรื่อยๆ แล้วยังมองไม่เห็นก้นเหว หรือเห็นแล้วแต่ยังลงไปอีก รวมถึงยังไม่รู้ว่าจะปีนกลับขึ้นมาได้อย่างไร หรือที่บางคนใช้คำว่า “ต้มกบ” ซึ่งจะแตกต่างจาก “ต้มยำกุ้ง” ที่เคยเจอในอดีต โดยต้มยำกุ้งเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน หลายคนก็อาจจะคาดไม่ถึง แตกต่างจากสถานการณ์ ณ เวลานี้ ที่แม้หลายคนจะเริ่มรู้สึกว่ากำลังลงไปแต่ก็เบรกไม่อยู่
ส่วนกระแส “คิดถึงลุงตู่” ซึ่งมีที่มาจากการเปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจระหว่างสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับรัฐบาลนายกฯ นายเศรษฐา ทวีสิน ว่า หามองย้อนไปสมัย พล.อ.ประยุทธ์ เจอวิกฤติใหญ่ของโลกอย่างการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะช่วงแรกๆ นั้นน่ากลัวมาก อย่างที่เห็นจำนวนผู้เสียชีวิตในหลายประเทศทางทวิปยุโรป ทำให้รัฐบาลหลายประเทศพยายามใช้เงินเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้
ทั้งนี้ หากดูตัวเลขหนี้สาธารณะ หรือหนี้ที่กู้ผ่านรัฐบาล ในช่วงก่อนหน้ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ที่ราว 5 ล้านล้านบาท แต่เมื่อผ่านมาถึงรัฐบาลนายเศรษฐา ยอดพุ่งขึ้นไปที่ 10 ล้านล้านบาท ดังนั้นความเป็นอยู่ทั่วไปในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หลายประเทศแม้จะมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ มีความเครียดในความเป็นอยู่ แต่ยังไม่ถึงขั้นกระเบียดกระเสียรเพราะมีเงินก้อนเข้ามา แต่ก็เป็นการยืมเงินจากอนาคตเพื่อมาใช้ในปัจจุบัน แต่ปัญหาคือเมื่อหนี้สาธารณะเพิ่มมากขึ้นขนาดนี้ การจะก่อหนี้เพิ่มเติมไปมากกว่านี้อีกก็จะเกิดคำถามว่าเพิ่มเพื่อนำไปใช้ทำอะไร?
“อย่างกรณีของดิจิทัลวอลเล็ต มันก็จะมีคำถามว่าถ้าเปรียบเทียบการใช้ เพิ่มหนี้สาธารณะเพื่อไปอุดหนุนอุปโภค-บริโภค กับถ้าเราหาทางว่าเพิ่มหนี้สาธารณะก็จริงแต่เราไปสร้างอุปกรณ์ เครื่องมือ สภาพแวดล้อม ที่มันทำให้เรามีรายได้เพิ่มในอนาคต มันจะดีกว่าหรือไม่? ดังนั้นตรงนี้มันก็จะเกิดข้อถกเถียงกัน อันนั้นเป็นประการหนึ่งในเรื่องของความสามารถในการแข่งขันของประเทศมันก็เปลี่ยนไปอีกด้วย” นายธีระชัย กล่าว
นายธีระชัย กล่าวต่อไปว่า หากมองย้อนไปราวๆ 10-20 ปี ลักษณะของกิจกรรมทางธุรกิจในหลายๆ ประเทศ มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประกอบการทำงานมากขึ้น ทำให้ประเทศเหล่านั้นก้าวหน้าขึ้นมาในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ค่อยมี ทำให้กระบวนการทำในบางอุตสาหกรรมเปลี่ยนไป เช่น การผลิตฮาร์ดดิสก์สำหรับคอมพิวเตอร์ทั้งแบบตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊ก ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมส่งออกหลักของไทย แต่ระยะหลังๆ ผู้คนหันมาใช้งานคอมพิวเตอร์ผ่านโทรศัพท์มือถือมากขึ้น เป็นอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนขึ้น คือมีขนาดเล็กลงแต่เทคโนโลยีเบียดกันแน่น
ซึ่งกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมลักษณะนี้จำเป็นต้องใช้แรงงานที่มีทักษะหรือมีความรู้ด้านวิศวกรรมมากกว่าเดิม แต่ที่ผ่านมาไทยยังไม่มีการปูทักษะทั้งในส่วนของคนทำงานและของผู้ประกอบการ ขณะที่อีกปัจจัยที่เข้ามากระทบคือสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ที่ตนเคยเขียนไว้ในหนังสือ “Thailand Reset” วางแผงไปตั้งแต่ปี 2560 หรือเมื่อ 7 ปีก่อน โดยตนมองปัญหาในขณะนั้นว่า ขบวนการโลกาภิวัตน์ซึ่งแนวทางที่ไทยและอีกหลายชาติในทวีปเอเชีย ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เรียกว่าห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
กล่าวคือ บริษัทจากโลกตะวันตกมาลงทุนแบบกระจายกันไปในหลายประเทศแถบเอเชีย ประเทศหนึ่งผลิตชิ้นส่วนหนึ่ง อีกประเทศก็ผลิตอีกชิ้นส่วน ขณะที่มีประเทศที่ถูกวางไว้รวบรวมชิ้นส่วนเหล่านั้นมาเพิ่มมูลค่า เช่น ประเทศจีน มีการรวมศูนย์ชิ้นส่วนจากที่ต่างๆ มาไว้ด้วยกันเพื่อประกอบเป็นโทรศัพท์มือถือ แต่ตนมองว่าแนวทางแบบห่วงโซ่อุปทานดูเหมือนจะอ่อนกำลังลง แต่หลังจากหนังสือวางแผนไปแล้วก็เกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ก็ยิ่งทำให้ขบวนการโลกาภิวัตน์ถดถอย กลายเป็นการกีดกันทางการค้าระหว่าง 2 ชาติดังกล่าวมากขึ้น
“ตรงนี้เองจะทำให้โมเดลที่เราใช้ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ที่เป็นโมเดล Supply Chain มันจะไม่สดใสเท่าเดิม ทั้งหมดนี้มันเท่ากับว่ามันมีปัญหา-อุปสรรคประดังกันมาหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องของโควิดแล้วทำให้เกิดปัญหา ทั้งเรื่องของนวัตกรรมของเราเองซึ่งเราก็ขาดทักษะ แล้วก็ในเรื่องของสงครามการค้าโลกด้วย” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ
นายธีระชัย ยังกล่าวอีกว่า ส่วนคำถามเรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต หรือการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท จะสร้างพายุหมุนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ คุ้มค่ากับการต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นหรือไม่? หากดูหลักทางเศรษฐศาสตร์ การกู้เพื่อใช้ในการอุปโภค-บริโภค ลองเทียบกับตัวเราเองก็ได้ เช่น การใช้บัตรเครดิตเพื่อกิน-ใช้ อย่างน้อยวันนี้เราอิ่ม อาจจะอิ่มเกินไปด้วยซ้ำ เราจะใช้กันอย่างชนิดที่สบายใจ แต่เมื่อถึงวันต้องชำระหนี้ก็จะเกิดปัญหา จึงเกิดข้อถกเถียงว่าแทนที่เราจะกู้เงินมาเพื่อใช้ ลองดูในมุมของบริษัท ที่เมื่อจะกู้เงินนั่นคือกู้มาเพื่อสร้างในสิ่งที่จะเป็นรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต
ซึ่งการกิน-ใช้ หากเกิดผลก็ได้เพียงไตรมาสเดียวแม้จะเกิดผลเร็ว คือแจกไตรมาสนี้ก็เกิดผลในไตรมาสนี้และไตรมาสหน้าเลย แต่การทำอะไรที่เป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มความเก่งให้กับประชาชนก็จะใช้เวลานานขึ้นสักหน่อย แต่ทำแล้วก็จะอยู่กับเราไปอีกยาว การถกเถียงในปัจจุบันจึงอยู่บนคำถามที่ว่า หากหนี้สาธารณะยังไม่มากจะกู้เงินมาแจกบ้างก็ตงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้หนี้สาธารณะเยอะแล้ว ควรนำเงินไปใช้อย่างอื่นจะไม่ดีกว่าหรือ?
ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดรัฐบาลไม่สามารถระบุตัวเลขให้ชัดเจนว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ตนมองว่าคนที่คิดโครงการคงเห็นว่ากระตุ้นแล้วจะได้ผลเยอะ อย่างรัฐบาลที่บอกว่าดิจิทัลวอลเล็ตหากทำแล้วจะกลายเป็นพายุหมุน 3-4 ระดับ แต่องค์กรอื่นๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จะมองว่าไม่น่าจะได้ผลมากอย่างที่คิด
หรืออย่าง นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เคยอธิบายไว้แบบง่ายๆ ว่า สมมติแหล่งที่มาของเงินสำหรับทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นำมาจากงบประมาณของโครงการอื่นๆ แบบนี้เท่ากับงบประมาณของโครงการเหล่านั้นก็หมดไป หรือเปรียบเทียบกับการสูบเลือดจากแขนซ้ายแล้วมาฉีดเข้าแขนขวา และอย่าลืมว่าการใช้งบประมาณแบบเดิมก็เกิดผลอยู่แล้ว การนำงบฯ มาใช้แบบนี้แล้วคิดว่าจะเกิดผลมากขึ้น นายพิสิฐก็บอกว่าผลจะไม่เพิ่มขึ้น หรือโครงการเดิมอาจส่งผลระยะยาวมากกว่า
ชมคลิปเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=2-Oht4CPO68
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี