‘กมธ.งบฯเพิ่มเติมปี67’ซีกเสียงข้างน้อยเปิดฉากขวาง‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ แฉเอกสาร‘คลัง’ชี้ประเมินโครงการใหม่ทำเศรษฐกิจโตแค่ 0.9% ไม่ตรงกับ‘รัฐบาล’แถลงจะโต 1.8% ด้าน‘วีระ’แนะถอยคันเร่ง หวั่นสร้างวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ ‘นโยบายเรือธงเพื่อไทย’ทำอันตราย คาดจะมีคนยื่น‘องค์กรอิสระ’ตีความ
31 กรกฎาคม 2567 เวลา10.40น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ. ... วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต วาระ2 และ3 ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานประธานกมธ. พิจารณาแล้วเสร็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการพิจารณาของกมธ.ฯ ไม่พบการแก้ไขในรายละเอียดของมาตราใดๆ แต่มีกมธ.ที่สงวนความเห็นไว้ทั้งสิ้น 7 คน และสส.ที่แปรญัตติรวม 22 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการอภิปรายรายมาตรา ในส่วนของมาตรา3 ว่าด้วย การตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท ที่แม้กมธ.ไม่แก้ไข แต่มีกมธ.จากฝ่ายค้านที่เสนอความเห็นให้ปรับลด โดยการอภิปรายของ นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่าในส่วนของการประเมินผลกระทบในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จับโป๊ะได้ในการประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เมื่อ 30 ก.ค. ได้ตั้งคำถามต่อผู้แทนกระทรวงการคลัง ถึงสาเหตุของการประเมินผลกระทบของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กลับไปอยู่ที่ 1.2% - 1.8% ซึ่งผู้แทนกระทรวงการคลังชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ตัวเลขดังกล่าวขึ้นกับ 4 เงื่อนไข คือ แหล่งที่มาของเงิน เงื่อนไขของโครงการ จำนวนผู้เข้าร่วม และพฤติกรรมการใช้จ่าย
นายสิทธิพล กล่าวด้วยว่าประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้ คือ แหล่งที่มาของเงินที่คำนวณ มาจากเงินอัดฉีดใหม่เข้าระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้มาจากการนำเงินที่ใช้จ่ายภายใต้ภารกิจอื่น หมายความว่าตัวเลขที่ 1.2%-1/8% เป็นสมมติฐานว่าเป็นเงินใหม่ทั้งหมด ดังนั้นตัวเลขดังกล่าวจึงมีปัญหา 2เรื่อง คือ แหล่งที่มาของเงิน ที่ชัดเจนแล้วคือไม่ใช่เงินใหม่ทั้งหมด เพราะใช้จากงบเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท และในร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2568 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท รวมเป็นเงิน 2.7แสนล้านบาท คิด 60% ของ 4.5 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 1.7แสนล้านบาท เป็นเงินเก่าโยกงบจากโครงการเดิม
นายสิทธิพล กล่าวด้วยว่า ปัญหาที่สอง ตามเอกสาร คือ การขัดกับระหว่างสิ่งที่กระทรวงการคลังชี้แจงในกรรมาธิการ และรัฐมนตรีแถลงเมื่อวันที่ 26 ก.ค. พบว่า เป็นตัวเลข 1.2%-1.8% เป็นตัวเลขที่ประเมิน 10 เม.ย. ไม่ตรงกับปลัดกระทรวงการคลังและผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังให้ข้อมูลกับกมธ. ที่ระบุว่า เดิมผลการประเมินโครงการทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.8% แต่จากการประเมินใหม่ผลคือส่งผลคือโครงการส่งผลต่อเศรษฐกิจ 0.9%
“ตามเอกสารทั้ง 2 ฉบับระบุวันที่ 10 เม.ย. แต่ตัวเลขไม่ตรงกัน เพราะฉบับหนึ่งระบุว่า 1.2%-1.8% อีกฉบับ 0.9% ตกลงมีการทบทวนหรือไม่ ทำไมแถลงข่าวล่าสุดจึงไม่บอกตัวเลขกับประชาชน แสดงว่าต้องมีตัวเลขที่ไม่ตรง ทั้งนี้จีดีพีที่บอกว่าจะโต 1.2%-1.8% คำนวณจากวงเงิน 5 แสนล้านบาทและกู้เงินทั้งหมด รวมถึงเงินจาก ธกส. แต่ปัจจุบันวงเงินลดเหลือ 4.7แสนล้านบาท และเม็ดเงินใหม่ไม่เยอะเท่าเดิม ดังนั้นไม่มีทางกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่โฆษณาได้ ทั้งนี้ ได้ถามสภาพัฒนาเศรษฐกิจ ประเมินผลกระทบใหม่หรือไม่ ซึ่งผู้แทนระบุว่า เดิม 0.3% แต่สมมติฐานเม็ดเงินใหม่ต้องกลับไปประเมินใหม่ แต่ผลกระทบจะน้อยลง ซึ่งผมขอให้รัฐบาลชี้แจงตัวเลขดังกล่าว และการกระตุ้นเศรษฐกิจในจำนวนเท่าไร คุ้มกับงบประมาณที่ประเทศต้องใช้หรือไม่ ปัญหาตอนนี้คือกลับไปกลับมา แต่ที่แน่ๆ คือ น้อยลง และเสี่ยงไม่คุ้มกับงบประมาณ” นายสิทธิพล อภิปราย
ด้านนายวีระ ธีระภัทรานนท์ กมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า ให้รัฐบาลถอยคันเร่งในการใช้โครงการดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเห็นชัดเจนว่ามีปัญหาและอาจต้องส่งให้องค์กรอิสระตีความในในอนาคต นอกจากนั้นขอให้รัฐบาลอย่ามองข้ามปัญหาเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นที่ประเทศกรีซ นอกจากนั้นในสถานการณ์ของงบประมาณในประเด็นพบสัญญาณที่เป็นอันตราย คือ ส่วนรายจ่ายดอกเบี้ยที่สูงเกือบ 10% ของรายได้ที่หามาได้ โดยในการจัดทำงบปี68 พบมีกาตั้งงบเพื่อชดใช้หนี้ 4.1แสนล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 1.5แสนล้านบาท และ ดอกเบี้ย 2.6แสนล้านบาท เท่ากับ 9% นอกจากนั้นคือการ ทำงบขาดดุลสูงที่สุด ติดเพดานงบขาดดุลมากไม่เคยมีมาก่อน ขณะนี้มียอดขาดดุลรวม 8.05แสนล้านบาท ซึ่งมีเพดานที่สูงสุดโดยไม่ผิดกฎหมาย คือ8.15แสนล้านบาท ดังนั้นจึงเหลือเงิน1หมื่นล้านบาท ดังนั้นในข้อกังวลคือวิกฤตการเงินการคลังในอนาคตหากบริหารจัดการไม่ถูกต้อง ไม่รอบคอบ
“นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ได้นำเป้าหมายสร้างความชอบธรรมในวิธีการดังกล่าวอันตราย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นนโยบายหาเสียงที่เป็นภาระต่องบประมาณและอาจเป็นตัวอย่างของการทำนโยบายที่เสี่ยงต่อการทำงบประมาณในอนาคต ดังนั้นขอให้สส.พิจารณาก่อนลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว” นายวีระ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี