เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 นายอาคม อุปแก้ว รองประธานเครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ (ส.ท.ช.) ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ และดำเนินการโดยมิชอบของคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (การรถไฟฯ) และคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการการรถไฟฯ ในการดำเนินการสรรหาและมีมติเห็นชอบผลการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้ง นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นผู้ว่าการรถไฟฯ คนใหม่ เนื่องจากมีปัญหาด้านคุณสมบัติที่ขัดกับประกาศ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายหลายฉบับ ทั้งประกาศคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการรถไฟฯ ลงวันที่ 29 เมษายน 2567 ข้อ 3.1.11 คุณสมบัติของผู้สมัครที่กำหนดไว้ต้องไม่เป็นหรือไม่เคยเป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของการรถไฟฯ เว้นแต่การเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในนิติบุคคลดังกล่าวโดยการมอบหมายของการรถไฟฯ ทั้งยังมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทยที่กำหนดผู้ที่มีส่วนได้เสียในสัญญากับการรถไฟฯ หรือในกิจการที่กระทำให้แก่การรถไฟฯ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม
นอกจากนี้ ยังขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 8 ตรี และมาตรา 32 ของกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยในมาตรา 8 ตรี กำหนดไว้ผู้บริหารนอกจากต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจนั้นๆ แล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม (12) ไม่เป็น หรือภายในระยะเวลา 3 ปีก่อนวันได้รับแต่งตั้ง ไม่เคยเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการจัดการหรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่การเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในนิติบุคคลดังกล่าวโดยการมอบหมายของรัฐวิสาหกิจนั้น
ขณะที่มาตรา 32 กำหนดไว้ ผู้มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ต้องห้ามมิให้เป็นผู้ว่าการ (1) ประกอบกิจการอันมีสภาพอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของการรถไฟฯ หรือเข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือเป็นผู้ถือหุ้น หรือกรรมการของบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชน ที่ประกอบกิจการอันมีสภาพอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของการรถไฟฯ ไม่ว่าจะทำเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น หรือมีส่วนได้เสียในสัญญากับการรถไฟฯ หรือในกิจการที่กระทำให้แก่การรถไฟ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
ทั้งนี้ ตามข่าวที่ปรากฏในสื่อมวลชนหลายฉบับที่มีการนำเสนออย่างต่อเนื่องพบว่า นายวีริศ อัมระปาล ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับการรถไฟฯ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะเวลาเช่า 30 ปี จากวันที่ 15 ต.ค.2565 ถึงวันที่ 1 ต.ค.2595 ถือว่ามีส่วนได้เสียในสัญญากับการรถไฟฯ อัน “เข้าข่าย” ขัดคุณสมบัติหรือเป็นลักษณะต้องห้ามชัดแจ้ง แต่คณะกรรมการสรรหาฯ ก็มิได้นำพาต่อปัญหาคุณสมบัติ และยังคงดำเนินการประกาศให้เป็นผู้ได้รับการสรรหาต่อไป
“เมื่อนายวีริศ ในฐานะผู้ว่าการการนิคมฯ (กนอ.) ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับการรถไฟฯ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จึงถือได้ว่า มีส่วนได้เสียในสัญญากับการรถไฟแห่งประเทศไทย เข้าข่ายขัดคุณสมบัติหรือเป็นลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ อย่างชัดแจ้ง ดังนั้น หากยังปล่อยให้มีการสรรหาที่มิชอบนี้ต่อไป ย่อมจะสร้างความเสียหายให้แก่องค์กรการรถไฟฯ รวมทั้ง ครม.ที่มีส่วนในการเห็นชอบในท้ายที่สุดด้วย ทางเครือข่ายสื่อมวลชนต่อตจ้านคอร์รัปชั่นจึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการไต่สวนเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายในครั้งนี้”
นอกจากการยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.แล้ว ทางเครือข่ายสื่อฯ ยังจะยื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจทั้งระบบ รวมทั้งยังจะยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการตรวจการแผ่นดินในวันเดียวกันด้วย
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี