ขีดเส้นแบ่งฝ่ายชัดเจน!!! "สุวัจน์"มองการเมืองยุคนี้ไม่เหมือนก่อน เชื่อแม้เกิดอุบัติเหตุแต่พรรครัฐบาลยังชุดเดิม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นการมีภาพปรากฎร่วมกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามสถานที่ต่างๆ อยู่หลายครั้ง ว่า การเมืองสมัยก่อนมีความเป็นครอบครัว มีความเป็นพี่-น้อง เป็นรุ่นพ่อ-รุ่นลูก คือมีความใกล้ชิดกัน แตกต่างจากการเมืองในปัจจุบันที่ชัดเจนว่ายืนกันคนละขั้ว ดังนั้นนักการเมืองรุ่นเก่าๆ ก็จะมีความสัมพันธ์กันตลอด
อีกทั้งในช่วงที่นายทักษิณเป็นนายกฯ ตนก็เป็นรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรี ก็จะคุ้นเคยกันอยู่ ดังนั้นเมื่อนายทักษิณกลับมา หลังจากที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย 17 ปี ตนมองว่านายทักษิณก็คงอยากเจอมิตรสหายคนเก่าคนแก่ อย่างตนอยู่ จ.นครราชสีมา พอนายทักษิณมาก็ถามว่าไปเขาใหญ่หรือไม่ ก็เหมือนเป็นพี่-เป็นน้องที่มีความผูกพันกันมา พอเจอกันก็พูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างตอนไป จ.ภูเก็ต นายทักษิณก็บอกว่าไม่ได้มาตั้งเกือบ 20 ปี หรืออย่างเขาใหญ่ก็ไม่ได้มาเช่นกัน แต่เมื่อได้มาก็ดี ได้เจอนั่นเจอนี่ แต่ยืนยันไม่มีปฎิญญาเขาใหญ่ มีแต่เขาใหญ่
“ไม่มีจริงๆ แต่ตอนที่ไปตีกอล์ฟกัน เนื่องจากผมไม่ได้เล่นกอล์ฟ ผมเล่นเทนนิส ดังนั้นในวงกอล์ฟผมไม่ทราบ แต่เท่าที่อยู่ตอนทานข้าว ส่วนใหญ่ก็จะคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็มีออกไปร้องเพลง ฉะนั้นก็เป็นบรรยากาศแบบไม่ใช่บรรยากาศการเมือง แต่ว่าเป็นคนการเมือง เป็นบรรยากาศที่พูดคุยกันเรื่องทั่วๆ ไป แล้วก็พอดีท่านอนุทิน (อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย) ก็มีสนามกอล์ฟ ก็เลยเชิญท่านทักษิณไป ก็เลยกลายเป็นมีการเมือง แล้วพอท่านไปก็อาจจะมี สส. พรรคเพื่อไทยไปต้อนรับ ก็จะมองว่าเป็นบรรยากาศการเมือง แต่จริงๆ ไมได้คุยเรื่องการเมือง” นายสุวัจน์ กล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่มีการมองว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง กรณีวันที่ 14 ส.ค. 2567 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งหากพ้นจากตำแหน่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย มีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นนายกฯ คนต่อไป เรื่องนี้ตนเห็นว่า วันที่ 14 ส.ค. 2567 มีหัวกับก้อย หากออกหัว นายกฯ เศรษฐา และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ยังอยู่ ส่วนจะมีการปรับ ครม. หรือไม่อย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่หากออกก้อย คือนายกฯ เศรษฐา ไม่อยู่ ครม. ก็ต้องไปด้วยกันทั้งคณะ ก็ต้องนับ 1 กันใหม่ เหมือนกับตอนหลังเลือกตั้งใหม่ๆ คือต้องจัดตั้งรัฐบาลกันใหม่ ซึ่งตนคิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องมาคุยกัน และโดยประเพณีทางการเมืองแล้ว พรรคแกนนำก็ต้องเป็นเหมือนกับผู้จัดการในการจัดตั้งรัฐบาล เป็นเรื่องที่พรรคแกนนำต้องตัดสินใจ แต่สิ่งที่แตกต่างของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 กับรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ คือให้พรรคการเมืองเสนอชื่อบุคคลไว้เป็นตัวแทนพรรคในการเป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างพรรคภูมิใจไทย คือมีนายอนุทิน เพียงคนเดียว อีก 2-3 พรรคก็มีชื่อเพียงคนเดียว แต่พรรคเพื่อไทยเสนอไว้ 3 คน คือนายเศรษฐา ทวีสิน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายชัยเกษม นิติสิริ ดังนั้นก็เป็นการตัดสินใจของพรรคแกนนำเป็นหลัก แต่ก็คงหารือกับพรรคร่วม อารมณ์คงจะออกมาแบบนั้น ส่วนเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะลงตัวหรือไม่ก็เป็นเรื่องของการเมือง
“ต้องเข้าใจว่าการเมืองวันนี้ ผมว่ามันก็เป็นการเมืองที่แปลก ตรงที่หลังเลือกตั้งมารอบนี้มันค่อนข้างที่จะแบ่งความเป็นฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลที่ชัดเจน ผมต้องการจะบอกว่าสมมติมีอะไรเกิดขึ้นมาวันนี้ เรื่องข้ามฟากนี่ยาก จำเหตุการณ์ตอนจัดรัฐบาลได้ไหม? ทีแรกสมมติตอนนั้นพรรคก้าวไกลได้เสียงมากอันดับ 1 แต่จัดรัฐบาลไม่ได้ ทั้งที่ควรจะเป็นนายกฯ ก็จัดไม่ได้ ก็เลยมาเป็นพรรคที่ 2 จัด แล้วก็บรรยากาศวันนั้นมันสวิงไปสวิงมา แล้วพรรคที่มาอยู่กับพรรครัฐบาลปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างพูดชัดเจนว่าไม่ร่วมกับใคร ซึ่งไม่ค่อยมีบรรยากาศอย่างนี้” นายสุวัจน์ ระบุ
นายสุวัจน์ ยังกล่าวอีกว่า ในอดีตไม่ค่อยมีบรรยากาศว่าใครไม่อยากร่วมกับใคร จะเป็นแบบคุณมาเชิญผม แต่วันนี้คือเชิญผมก็ได้แต่ผมไม่ร่วมกับคนนี้ด้วยเหตุผลเชิงนโยบาย ที่บอกว่าหากพรรคมีนโยบายแบบนี้ก็ไม่ร่วม ดังนั้นจึงค่อนข้างขีดเส้นไว้ชัดเจน ว่าในอายุ 4 ปีของสภาชุดนี้ ค่อนข้างขีดไว้เลยว่าข้ามเส้นนี้ไม่ได้ เพราะตอนจัดตั้งรัฐบาลพูดไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า การที่มาอยู่กับพรรคนี้ ไม่ไปอยู่กับพรรคนั้น ด้วยเหตุผลเชิงนโยบาย ตนจึงมองว่าวันนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น หากการเมืองจะเกิดอะไรขึ้นก็คงเกิดอยู่ในกลุ่มเดิม อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณหรือเหตุการณ์อะไรที่ระหองระแหงกัน ส่วนคำถามว่า ระหว่างนายอนุทิน กับ น.ส.แพทองธาร ใครมีภาษีมากกว่ากัน ตนมองว่าขึ้นอยู่กับใครจะได้รับเสียงสนับสนุนมากในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล และโดยปกติเราก็จะฟังพรรคแกนนำ โดยมารยาททางการเมือง หากพรรคเพื่อไทยบอกว่าเบอร์ 1 ไม่อยู่ เอาเบอร์ 2 หรือเบอร์ 3 ตนว่าก็คงออกมาในแนวนั้น ยกเว้นพรรคเพื่อไทยบอกรอบนี้ไม่อยากเป็น ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็ต้องดูรัฐธรรมนูญด้วย ที่ระบุว่า บุคคลที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ได้ พรรคการเมืองที่เสนอนั้นต้องมี สส. ไม่ต่ำกว่า 25 เสียง
ชมคลิปเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=RQ0WNj2UjAk
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี