ปธ.วุฒิฯซึ้งใจสว.พูดแทนคนจน
บ่อน้ำตาแตก
ชาวบ้านขอเงินสดเมิน‘ดิจิทัล’
ใช้ยาก-ซื้อวัวควายเลี้ยงไม่ได้
จี้ถามรบ.ทำไมไม่แจกแบบนี้
“วุฒิสภา”ถกงบฯเพิ่มเติมปี’67 ใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 1.22 แสนล้าน “นายกฯ”มาแจงเองยัน “หนี้สาธารณะ” ยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง ไม่เกิน 70% ด้าน “สว.บุญจันทร์” ประเดิมซัดแจกหมื่น “กระตุ้นเศรษฐกิจ” หรือหาเสียงล่วงหน้า หรือหวังกระตุ้นใคร ยก“คนละครึ่ง”รบ.ก่อนเกทับเข้าท่ากว่า ด้าน “จุลพันธ์” โร่แจงย้ำเป็นสัญญาประชาคม
จำเป็นต้องเดินหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ำร้านเล็กหาบเร่-ก๋วยเตี๋ยว ร่วมโครงการได้ ขณะที่ “สว.แดง”แม่ค้าขายหมู สะท้อนความเห็นคนรากหญ้า ควักแบงก์พัน สะท้อนความต้องการชาวบ้านอยากได้เงินสดมากกว่า ชี้เงินดิจิทัลเอาไปซ่อมบ้าน-ซื้อวัวควายมาเลี้ยงไม่ได้ ปธ.วุฒิฯได้ฟังถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ อัดคลิปไปซับน้ำตาไป เผยฟังแล้วคิดถึงวัยเด็กที่พ่อแม่ขายวัวควายส่งเรียน และตื้นตันใจที่สว.เป็นตัวแทนชาวบ้านมาพูดในสภาฯ
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 3 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ทั้งนี้ ที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่ให้ยกเว้นข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา ไม่ต้องตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญมาพิจารณา แต่ให้ตั้งคณะกมธ.เต็มสภา เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว 3 วาระรวด มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังเข้าร่วมประชุมด้วย
นายกฯมาแจงเองย้ำกระตุ้นศก.ด่วน
โดยนายเศรษฐาชี้แจงต่อที่ประชุมว่า หลักการและเหตุผลของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ต่างๆ ยกระดับคุณภาพชีวิตและการดำรงชีพ สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจควบคู่กับการรักษาระดับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ รวมถึงความสามารถแข่งขันของประเทศผ่านโครงการเติมเงินหนึ่งหมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน ไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ได้ จึงต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมไม่เกิน 1.22 แสนล้านบาท
นายเศรษฐาย้ำว่าประมาณการเงินที่พึงได้มาสำหรับจ่ายตามร่างพ.ร.บ.รายจ่ายเพิ่มเติมงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีดังนี้ 1.ภาษีและรายได้อื่น เป็นแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการ 1 หมื่นล้านบาท 2.เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 1.12 แสนล้านบาท โดยภาวะเศรษฐกิจในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.0-3.0 มีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่เกี่ยวเนื่อง การขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศทั้งการอุปโภค บริโภค การลงทุน และการกลับมาขยายตัวอย่างช้าๆของการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของการค้าโลก
สว.บุญจันทร์ฉะหาเสียงล่วงหน้า
ต่อมาพล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว. กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ลุกขึ้นอภิปรายว่า นายกฯบอกว่าจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินตามนโยบายเร่งด่วนรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ต่างๆ แต่มีเงินกู้มา 1.1 แสนล้านบาท ตกลงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือโครงการเพิ่มหนี้ให้ประชาชนทุกคน การบอกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจนั้นกระตุ้นใคร กระตุ้นที่ไหน เพราะตนให้ทีมงานลงพื้นที่จ.สุรินทร์ ทั้งร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวแกง บ่นว่าจะให้เงินดิจิทัลอย่างไร สมมติว่าบางคนเลี้ยงไก่ มีคนเอาเงินดิจิทัลมาซื้อไข่ไก่ แล้วเจ้าของฟาร์มไก่เล็กจะเอาเงินไปซื้อของที่ไหน ตนจึงสงสัยว่ากระตุ้นนายทุนใหญ่หรือไม่ ประชาชนรอฟังคำตอบอยู่ว่าโครงการนี้ทำเพื่อกระตุ้นจริงหรือไม่ หรือเป็นการหาเสียงล่วงหน้า
ปชช.โวยขั้นตอนเยอะคนละครึ่งดีกว่า
“ท่านอย่าหลงใหลได้ปลื้มกับคนลงทะเบียนกว่า 24 ล้านคน ไม่ทราบว่าจะได้สิทธิ์หมดทุกคนหรือไม่ และมีหลายคนไม่กล้าไปลง กลัวมาหลอกให้ดีใจเล่น พอถึงเวลาก็ไม่ให้ โดยอ้างโน้นอ้างนี้ และยังมีคุณยายที่อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ให้หลานไปซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่ลงทะเบียนได้ ราคา 4 พันบาท ซึ่งเงินหมื่นบาทหายไปแล้ว 4 พันบาท อย่างนี้กระตุ้นตรงไหน คนที่มีโทรศัพท์รุ่นเก่าก็ไม่มีความพร้อมลงทะเบียน กลายเป็นร้านสะดวกซื้อที่มีความพร้อมมาก ประชานจึงสงสัยว่า โครงการนี้กระตุ้นใครกันแน่”พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าว และว่า ชาวบ้านบอกกับตนว่า ตอนหาเสียงบอกจะได้เงินหมื่น ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีขั้นตอนมากขนาดนี้ หลายคนบอกว่าไม่เอาแล้ว ทำไมไม่จ่ายเงินสดให้ประชาชนเลย เพราะประชาชนในพื้นที่เคยคุ้นชินกับโครงการคนละครึ่ง ตอนแรกก็บอกว่ารัฐบาลเอาเงินมาแจกได้อย่างไร แต่พอใช้ไปก็เข้าท่าเหมือนกัน เพราะคนที่ใช้ได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบบ้าง ไม่ใช่แบมือรับจากรัฐบาลอย่างเดียว จะสร้างนิสัยเสียให้คนทางอ้อม ดังนั้น ขอเรียนว่าประชาชนอยากได้เงินสด และขอลดเงื่อนไขกระบวนการลงเพื่อให้ง่ายขึ้น
ย้ำหาบเร่-ร้านก๋วยเตี๋ยวร่วมโครงการได้
หลังมีสว.อภิปรายท้วงติงโครงการฯ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ลุกขึ้นชี้แจงว่า กรณีการก่อหนี้และความคุ้มค่าต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยอมรับว่าเมื่อกระบวนการเดินหน้าต้องกู้เงินเพิ่ม ทั้งนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งกระบวนการใช้คือ ใช้คูปอง เพื่อไปแลกเปลี่ยนสินค้า ส่วนการขึ้นเงินสดเป็นกระบวนการใช้ในรอบสองเป็นต้นไป การขึ้นเงินหรือไม่ เงินไม่หายไปไหน สำหรับการลงทะเบียนร้านค้าที่เข้าร่วมนั้น ร้านค้าที่ไม่ได้ลงทะเบียนในระบบภาษี เช่น หาบเร่ ก๋วยเตี๋ยวเข้าร่วมโครงการได้ แต่ไม่สามารถขึ้นเงินสดได้ ต้องนำไปซื้อปัจจัยการผลิต ส่วนรายละเอียดที่พิจารณาถึงร้านสะดวกซื้อนั้น ได้พิจารณาไม่ให้กระจุกตัวที่รายใหญ่ และประชาชนใช้จ่ายได้ง่าย ทั้งนี้ การใช้จ่ายรอบสอง ที่เป็นร้านค้าต่อร้านค้า สามารถใช้จ่ายได้โดยไม่กำหนดพื้นที่หรือจำนวนได้
โวยอดลงทะเบียนทะยาน25ล.
“สำหรับร้านสะดวกซื้อนั้นคิดนานเพราะไม่สามารถตัดสิทธิประชาชนและร้านค้าได้ สำหรับกรณีการลงทะเบียน ที่พบล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนถึง 25 ล้านคนไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จ แต่อยู่ที่กลไกกระตุ้นเศรฐกิจ จำนวนที่ลงทะเบียนไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้สิทธิ เพราะต้องตรวจสอบฐานข้อมูล ขณะที่ร้านค้าที่ลงทะเบียน เบื้องต้น ร้านธงฟ้าที่มี 2แสนร้านค้า ลงทะเบียนแล้ว 2หมื่นร้าน นอกนั้นจะให้หน่วยงานรัฐ เช่น กรมการปกครอง ขึ้นทะเบียนร้านค้าด้วย” นายจุลพันธ์ ชี้แจง
ลั่นต้องทำเพราะเป็นสัญญาประชาคม
ส่วนประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน รมช.คลังชี้แจงว่า วิธีใช้ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง และบันทึกภาพการใช้จ่ายทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต ซึ่งจะเริ่มเปิดลงทะเบียนวันที่ 16 กันยายน-15 ตุลาคม ทั้งนี้ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งและหวังผลการเมือง ตนยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง เพราะผ่านมาเป็นปี แต่ที่ต้องทำเพราะเป็นสัญญาประชาคมที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อที่ประชุมรัฐสภา เป็นนโยบายเร่งด่วนต้องเดินหน้า ในรัฐบาลไม่มีการพูดถึงพรรคการเมืองใด เพราะเป็นการหารือของพรรคร่วมรัฐบาล และที่ตั้งข้อสังเกตว่าไม่ตรงปกนั้น ตนยอมรับว่าโครงการมีการเปลี่ยนแปลงจริง จากข้อท้วงติงจากหน่วยงานรัฐ และความห่วงใยของสังคม รัฐบาลจำเป็นต้องรับฟัง
สว.รากหญ้าควักแบงก์โชว์หนุนแจกเงินสด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหนึ่งของการอภิปราย นางแดง กองมา สว.กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่น ลุกขึ้นอภิปรายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตนมาจากจ.อำนาจเจริญ เป็นแม่ค้าขายหมู ชีวิตพบแต่กับพ่อค้าแม่ค้าชนบท ซึ่งตนถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มคนรากหญ้า ที่เป็นรากไม้รากหนึ่งที่ค้ำให้ต้นไม้ ที่ชื่อว่าประเทศไทยให้สง่างาม กรณีรัฐบาลแจกเงินให้ประชาชนคนละหมื่นบาท พวกตนยินดีและดีใจมากเพื่อใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็น แต่พอเป็นเงินดิจิทัล กลุ่มของตนกังวลว่าจะใช้จ่ายอย่างไร และคิดหนัก บางครอบครัวมีสมาชิก 4-5 คน รวมเป็นเงิน 40,000 - 50,000 บาท อยากเอาไปซ่อมบ้าน หรือซื้อวัว ซื้อควายเลี้ยง แต่ทำไม่ได้
“ทำไมรัฐบาลไม่แจกเป็นเงินแบบนี้ เพื่อใช้ได้ง่ายสำหรับพวกเรา ดิฉันเห็นด้วยกับการแจกเงินให้คนไทย แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่จะแจกเป็นเงินดิจิทัล ไหนๆ รัฐบาลจะแจกเงินให้คนไทยแล้ว ทำไมไม่ทำให้ประชาชนมีความสุข เหมือนกับเพิ่มทุกข์ให้ประชาชน” นางแดง อภิปราย
ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งของการอภิปราย นางแดงได้ชูธนบัตรใบละ 1,000 บาท 1 ใบ ในมือขวา และ 100 บาท 2 ใบ ในมือซ้าย รวมเป็นเงิน 1,200 บาท ประกอบการอภิปรายด้วย
ประธานวุฒิฯตื้นตันใจน้ำตาซึม
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างนางแดงอภิปราย นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ที่ขณะนั้นนั่งอยู่บนบังลังก์ เพื่อรสลับมาทำหน้าที่ประธานการประชุม ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาซับน้ำตาตลอดเวลา พร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปที่นางแดงอภิปรายด้วย
นายมงคลให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า ร้องไห้ระหว่างที่ฟังการอภิปรายของ นางแดง บุญมา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อาชีพแม่ค้าขายหมู ที่เปรียบตัวเองเป็นรากต้นไม้ใหญ่ ที่ชื่อว่าประเทศไทยให้เติบโตสง่างาม ว่า น้ำตาไหล และรู้สึกตื้นต้นที่ชาวบ้านได้เข้ามาทำหน้าที่ สว. และพูดแทนชาวบ้าน ตนอายุ 72 ปี ไม่เคยมีชาวบ้านมานั่งในสภา และมาพูดแทนเขา
ฟังแล้วนึกถึงวัยเด็กพ่อแม่ขายวัวส่งเรียน
“สิ่งที่พูดเป็นสิ่งที่ดีงาม อยากให้เขาพูด เราจะได้ความรู้จากสิ่งที่เขาพูด และที่ตื้นตันใจเพราะว่าเขาพูดในสิ่งที่พ่อแม่เราทำอาชีพนี้มาก่อน ถ้าบ้านหนึ่งได้เงินสดมาก็สามารถเอาเงินมาซื้อวัวควาย ซึ่งเป็นธนาคารชาวบ้าน คนอายุ 72 ปี และสิ่งที่เขาพูดเป็นวิถีชีวิตของพ่อแม่เรา ถ้ามีเงินซื้อวัวมาตัวหนึ่ง ปีหนึ่งออกลูกก็นำวัวไปขายส่งลูกเรียนหนังสือ เพราะการปลูกข้าวไว้แค่พอกิน ไม่ได้ปลูกไว้ขาย”นายมงคลกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี