ด่วนที่สุด!!! "ก้าวไกล"ไม่รอด ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย"ยุบพรรค" ตัดสิทธิ์ 11 กรรมการบริหารพรรค ศาลรธน.ชี้นโยบายหาเสียงแก้ม.112 มีเจตนาทำสถาบันอ่อนแอ เป็นการกระทำล้มล้าง-เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง อัดนักวิชาการ-ทูต ต้องมีมารยาท รธน.และบริบทกฎหมายแต่ละประเทศแตกต่างกัน
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติสั่งยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค โดยห้ามมิให้ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) จากเหตุมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ที่ระบุว่าเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่ง ส.ส.พรรคก้าวไกล 44 คน เข้าชื่อยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 25 มี.ค.2564 และใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดการกระทำนั้น
โดยศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ และการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคการเมืองเกิดขึ้นได้ใน 2กรณี ได้แก่ 1. กกต.มี “หลักฐานอันควรเชื่อได้” ว่าพรรคการเมืองใดได้กระทำการที่เข้าลักษณะตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (4) และ 2. “เมื่อปรากฏ”ต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าพรรคการเมืองใด กระทำการตามมาตรา 92นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อเสนอ ความเห็นต่อกกต.ตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง 2566 จึงเป็นกรณีที่กฎหมายวางกฎเกณฑ์ของผู้เริ่มกระบวนการและลักษณะของข้อเท็จจริงไว้แตกต่างกัน ดังนั้น หากกกต.มีหลักฐานอันควร เชื่อได้ว่าพรรคการเมืองมีการกระทำที่เข้าลักษณะที่กฎหมายบัญญัติ ก็ย่อมมีอำนาจยื่น คำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
คดีนี้กับคดีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567เป็นคดีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันและมูลคดี เดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไต่สวนพยานหลักฐานในมาตรฐานเดียวกัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ ยุติแล้วในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่าพฤติการณ์ดังกล่าวของผู้ถูกร้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 วรรคสี่ บัญญัติว่า “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ” ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมต้องผูกพันศาลรัฐธรรมนูญในการ พิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ด้วย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่าพฤติการณ์ของพรรคก้าวไกลที่ เสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันมีเนื้อหาเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบัน พระมหากษัตริย์ และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งโดยการใช้ประโยชน์จากสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อหวังผลคะแนนเสียงและชนะการเลือกตั้ง เป็นการมุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับ ประชาชน พรรคก้าวไกลมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือทำให้อ่อนแอลง อันนำไปสู่ การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด การกระทำของพรรคก้าวไกลจึงเข้าลักษณะการกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขอีกด้วย
เมื่อพรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนที่มีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตย การยุบพรรคการเมืองต้องเคร่งครัด ระมัดระวัง ให้ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ความรุนแรงของพรรคการเมือง พรรคก้าวไกลมีการกระทำอันฝ่าฝืนต่อพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ซึ่งเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง กฎหมายดังกล่าวใช้กับพรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าพรรคการเมือง นั้นจะได้รับการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกพรรคการเมืองต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับเดียวกันอย่างเสมอ ภาคเท่าเทียมกัน หากมีพฤติการณ์ร้ายแรงกฎหมายจำเป็นที่จะต้องหยุดยั้งการทำลายหลักการพื้นฐานการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามที่กฎหมาย บัญญัติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
"แม้นักวิชาการ นักการเมือง หรือนักการทูตของต่างประเทศไม่ว่าในระดับใด ต่างก็มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายภายในประเทศ รวมทั้งข้อกำหนดของตนแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละประเทศ การแสดงความเห็นใดๆ ย่อมต้องมีมารยาทสากลทางการทูตและการต่างประเทศที่พึงปฏิบัติต่อกัน"
ทั้งนี้ มติยุบพรรคดังกล่าวแบ่งเป็นมติเอกฉันท์ 9เสียงที่เห็นว่าพรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและก็ทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิถีทางที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 (1)
ส่วนที่เห็นว่าพรรคก้าวไกลกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) นั้น เป็นมติเสียงข้างมาก 8ต่อ 1 โดยนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ เป็นตุลาการเสียงข้างน้อย
และมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 เสียง มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในระหว่างวันที่ 25 มี.ค.64 - วันที่ 31 ม.ค.67 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคมีกำหนดเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรม นูญมีคำสั่งสอดคล้องกับระยะเวลาตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 94 วรรคสองโดยผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงดังกล่าว จะไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ภายในกำหนด 10 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรรมการบริหารพรรค ที่จะถูกตัดสิทธิมีทั้งสิ้น 11 คน ประกอบด้วย ส.ส.บัญชีรายชื่อ 5 คนคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ขณะนั้น นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ขณะนั้น น.ส.เบญจา แสงจันทร์ นายสุเทพ อู่อ้น นายอภิชาต ศิริสุนทร สส.เขต 1 คน คือ นายปดิพัทธ์ สันติ ภาดา สส.พิษณุโลก ซึ่งถูกขับพ้นพรรคและปัจจุบันสังกัดพรรคเป็นธรรม
ส่วนกรรมการบริหารพรรค ที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ในปัจจุบัน ประกอบด้วย ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เหรัญญิกพรรค นายณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล นายทะเบียนสมาชิกพรรค นายสมชาย ฝั่งชลจิตร นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล และนายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี