'โฆษกรัฐบาล'แถลงผลงานหลังผุดรายการใหม่'ไฮไลต์ไทยคู่ฟ้า' โว ภาคการท่องเที่ยวทำเม็ดเงินสูง มูลค่ากว่า 6.5 แสนล้านบาท ทำจีดีพีโต 3% พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหายาเสพติด หลังบั่นทอนกำลังการผลิตเศรษฐกิจประเทศ ลั่นหากพบหน่วยงานใดเกี่ยวข้อง ปราบหมดไม่สนลูกใคร
เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย น.ส.เกณิกา อุ่นจิตต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงความคืบหน้าผลงานรัฐบาล ในรายการ “ไฮไลต์ไทยคู่ฟ้า” ถึงกรณีการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวด้วยมาตรฐานระดับโลกส่งต่อเม็ดเงินสู่ประชาชน และความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดขีดเส้นตายใน 3 เดือน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาการทำงานของรัฐบาล ซึ่งในเรื่องการท่องเที่ยว ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเนื่องจากจะสามารถฟื้นโดยเศรษฐกิจของไทยได้ โดยในปีที่ผ่านมาการท่องเที่ยวสร้างรายได้ประมาณ 2.09 ล้านล้านบาท มีจำนวนนักท่องเที่ยว เดินทางเข้าประเทศกว่า 21 ล้านคน ซึ่งนักท่องเที่ยวแต่ละประเทศหากเทียบสถิติกับปีที่ผ่านมาพบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกประเทศอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล
ขณะที่ตัวเลขการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลัง มีการประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก โดยหากคิดจากการเทียบสถิติจากปีที่ผ่านมา พบว่าจะอยู่ที่ประมาณ 38 ล้านคน ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยประมาณการอยู่ที่ 206 ล้านคน ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณการอยู่ที่ 2,738 ล้านบาท
โดยภาคการท่องเที่ยวจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา มีมูลค่ากว่า 6.5 แสนล้านบาท อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ และไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง มาจากการท่องเที่ยว โดยในช่วงสัปดาห์หน้าตนจะมีการอัพเดทตัวเลขทางด้านการเกษตร
ขณะที่ น.ส.เกณิการ์ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหายาเสพติด ว่า ถือเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล ในเวลา 11 เดือนที่ผ่านมาได้สั่งการและลงพื้นที่ในแต่ละจังหวัด ที่ผ่านมามีการทำงานบูรณาการร่วมกันจากทุกหน่วยงาน โดยมีการกำหนด 25 จังหวัด นำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาโดยให้ระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 มิ.ย.-31 ส.ค. ซึ่งมีจังหวัดต้นแบบ ธวัชบุรีโมเดล จ.ร้อยเอ็ด และท่าวังผาโมเดล จ.น่าน ซึ่งการประเมินผลทั้งหมด มี 12 ตัวชี้วัดหลัก และ 31 ตัวชี้วัดย่อย
โดยมุ่งเน้นเรื่องการปราบปราม คัดกรองผู้เสพ ผู้ค้า รวมไปถึงเอ็กซเรย์พื้นที่ นำผู้ป่วยหรือผู้เสพมาบำบัดโดยสมัครใจ มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้บำบัดและมีค่ายทหารบูรณาการแก้ไข พร้อมฝึกอาชีพ ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ขณะที่การคัดกรองในปัจจุบัน มีผู้เข้าสู่กระบวรการแล้วกว่า 146,269 คน โดย 10 จังหวัดที่มีการคัดกรอง ประกอบด้วย ขอนแก่น กรุงเทพมหานคร นครราชสีมา เชียงใหม่ ร้อยเอ็ด อุดรธานี สงขลา ปทุมธานี นครสวรรค์ และเลย
ขณะเดียวกันรัฐบาลยังเห็นชอบ เพิ่มเพราะบำเหน็จความเห็นชอบกรณีพิเศษสร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ด้านยาเสพติดทั่วประเทศ ไม่เกินร้อยละ 2.5 และผู้ปฏิบัติงาน ไม่เกิน 1.5 ซึ่งใช้งบประมาณ 85 ล้านบาท อัดฉีดตั้งแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ 1 มิ.ย.-31 ก.ค.ในปี 2566 และ ปี 2567 จะเห็นได้ว่า มีจำนวนตัวคดีและผู้ต้องหาเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงเวลาดังกล่าวของปีนี้มีจำนวนคดีเพิ่มขึ้นเป็น 13,144 คดี /มีผู้ต้องหาเพิ่มขึ้นเป็น 23,581 ราย
รองโฆษกฯ กล่าวย้ำในช่วงท้ายว่า รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินหน้าแก้ไขปัญหาในทุกมิติ พร้อมกับระบุว่า หากพบว่ามีหน่วยงานใดเข้าไปเกี่ยวข้องก็พร้อมที่จะปราบหมด ไม่สนลูกใคร
ขณะที่ในช่วงท้าย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศการท่องเที่ยวไทยเราฟื้นได้อย่างดีมาก หากตัดเกรด คือ A + ต้องชมการท่องเที่ยวและททท.ที่ใช้ฝีมือและกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม และในปีหน้าคาดว่ารายได้จัดเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวเลขที่ทำให้ GDP ขยายตัวไปได้ มากกว่า 3% และที่เรื่องยาเสพติดนายกรัฐมนตรีย้ำว่าหากฟื้นเศรษฐกิจแบบปล่อยปัญหายาเสพติดเอาไว้ก็จะเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังการผลิตของภาคเศรษฐกิจของไทย ที่จำเป็นต้องขจัดปัญหายาเสพติดให้หมดไปให้ได้ ซึ่งถือเป็น 2 เรื่องใหญ่ในช่วงเกือบ 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทรัพยากรทุกอย่างเพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี