วันนี้"ทักษิณ"ชนะ!!! "นิพิฏฐ์"มองเกมอำมหิต"ฆ่าปชป.-แก้แค้นลุงป้อม" สู่เป้าหมายสลาย"ฝ่ายค้าน"ให้เรียบ
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2567 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โฟนอินให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ว่า หากมองย้อนไปในอดีต ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่นายกรัฐมนตรีดึง ส.ส.จากพรรคอื่นเข้าไปร่วมรัฐบาล แบบเอาครึ่งหนึ่งแต่ไม่เอาอีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่เป็นระบบพรรคการเมือง การสมัครเป็น ส.ส.โดยไม่สังกัดพรรคไม่สามารถทำได้ คือถูกขับเคลื่อนด้วยพรรคการเมือง ดังนั้นก็ต้องทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง
อย่าในอดีตที่เป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างพรรคไทยรักไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็น 2 พรรคการเมืองใหญ่ในเวลานั้น นั่นคือพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง แต่ปัจจุบันที่มีการดึง ส.ส.แบบเอาไปเพียงครึ่งพรรค ทำให้เห็นชัดว่าพรรคการเมืองอ่อนแอ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในความคิดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากสามารถสลายพรรคการเมืองให้อ่อนแอลงได้ก็พร้อมที่จะทำ และเคยทำมาแล้วอย่างตอนที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ก็ไปยุบรวมพรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญว่าการรวมพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้งไม่สามารถทำได้เพราะเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน ดังนั้นตนมองว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่ความคิดของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เพราะคงคิดเกมที่ลึกซึ้งและอำมหิตแบบนี้ไม่ได้ และการทำแบบนี้คือการฆ่าหรือสลายพรรคประชาธิปัตย์อย่างเลือดเย็น และเป็นการแก้แค้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อย่างสาสม คือจะโกรธกันส่วนตัวก็ว่าไป แต่การทำให้พรรคแตกสลายในอดีตไม่เคยทำ เพิ่งมีในยุค น.ส.แพทองธาร
เมื่อถามต่อไปถึงกรณี นายสรรเพชญ บุญญามณี ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กตั้งข้อสังเกตในทำนองว่า รัฐบาลพยายามจะครองเสียงข้างมากโดยไม่ให้มีฝ่ายค้านในสภา เรื่องนี้ตนมองว่า จริงๆ ก็มีพรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้านอยู่แล้ว และหากจะว่ากันตรงๆ แม้พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายค้าน แต่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ตนก็ไม่เห็นเขี้ยวเล็บพิษสงในการเป็นฝ่ายค้านของพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นต่อให้พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเป็นฝ่ายค้านต่อไป พรรคเพื่อไทยก็คงไม่กลัว แต่พรรคประชาธิปัตย์ใจก็ไม่พร้อมจะเป็นฝ่ายค้าน อย่างกระนั้นเลยก็มาเป็นรัฐบาลดีกว่า
"เป็นเกมสลายพรรคประชาธิปัตย์โดยแท้เลย ผมคุยกับคนประชาธิปัตย์ อดีตที่เป็นแกนนำของพวกเราหลายคน เขาก็วิเคราะห์ว่าครั้งหน้า พูดตรงไปตรงมานะ อันนี้เป็นคำของคนที่เป็นประชาธิปัตย์ เขาบอกครั้งหน้าประชาธิปัตย์ไม่ใช่หลักสิบแต่เป็นหลักหน่วย ในสมัยประชาธิปัตย์ไปร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ (รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปี 2562 - 2566) ก็มี 52 เสียง ทั้งที่ความคิดความอ่านทางการเมืองก็ใกล้เคียงกัน ไปร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ เหลือ 25 เสียง (เลือกตั้งปี 2566) วันนี้เราไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยซึ่งเราไม่เคยทำการเมืองในแนวเดียวกันมาก่อน อยู่ตรงกันข้ามมาตลอด จาก 25 ไม่มีทางเพิ่มเป็น 26 แล้ว มันอาจจะลดมาเป็น 8 เป็น 9 ได้" นายนิพิฏฐ์ กล่าว
นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อไปว่า ตนไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นภาพพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จูบปากกัน แต่หลังจากเปลี่ยนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ตนก็คิดว่าอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว ความล้มเหลวหรือความอ่อนด้อยของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มมาตั้งแต่สมัยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรค กระทั่งเมื่อมาถึงยุคของนายเฉลิมชัยก็คือสุดๆ แล้ว อย่างที่เห็น นายชวน หลีกภัย ยืนต้านกระแสอยู่ ตนก็ไม่เห็นว่านายจุรินทร์จะแสดงความคิดเห็นอะไรเลย ถามว่าแปลกหรือไม่
ในขณะที่ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็อย่าไปหวังอะไรเลย เพราะท่านก็เป็นคนเรื่อยๆ มาเรียงๆ แบบนี้ จะออกมาให้ความเห็นหรือตอบโต้อะไรก็คงไม่ทำ เว้นแต่จะขออนุญาตไปสัมภาษณ์ท่าน แต่กรณีของนายจุรินทร์ ตนก็คิดไปว่า หากนายจุรินทร์พูดอะไรออกมา นายเฉลิมชัยก็จะบอกว่าอย่านะ และบอกว่ารู้ว่านายจุรินทร์ผ่านอะไรมาแล้ว อย่าลืมคำว่าเกษตรผลิต-พาณิชย์จำหน่าย ก็เกิดขึ้นในยุคนายเฉลิมชัยกับนายจุรินทร์ ตนคิดว่า 2 คนนี้เขารู้กันเลยไม่กล้าที่จะพูดอะไรกัน
แต่หากจะให้เทียบสถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐ ก็ต้องบอกว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพราะไม่มีเลือดแท้ เป็นพรรคที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นลูกผสม ดังนั้น โอกาสที่พรรคพลังประชารัฐจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็สามารถคาดการณ์ได้ง่ายกว่าพรรคประชาธิปัตย์ โดยช่วงที่ตนไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ก็เคยพูดอะไรที่รุนแรงจน พล.อ.ประวิตร ก็ไม่พอใจเท่าไร คือบอกว่าพลังประชารัฐเป็นพรรคเฉพาะกิจ หลังเลือกตั้งแต่คงยากที่จะดำรงสถานภาพไปได้ แต่สุดท้ายก็ยอมรับความจริงกัน แล้วก็เดินมาถึงจุดนี้
เมื่อถามถึงการแบ่งเป็น 2 ฝ่ายในพรรคพลังประชารัฐ ระหว่างฝ่ายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค กับฝ่ายของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ตนมองว่าก็คล้ายๆ กับพรรคประชาธิปัตย์ คือบทบาทของ พล.อ.ประวิตร ระยะหลังๆ แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งตนคือว่าคนใกล้ตัวท่านน่าจะแนะนำมากกว่า และจริงๆ พล.อ.ประวิตร อาจเชี่ยวชาญทางการทหารแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางการเมือง ที่บอกว่ามีหนังสือส่งชื่อ 4 คน เป็นตัวแทนพรรคไปเป็นรัฐมนตรี แล้วไปทวงถามแบบฟอร์มกรอกประวัติและคุณสมบัติ ตนมองว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของ พล.อ.ประวิตร
ส่วนการพยายามต่อสู้กันในเชิงกฎหมาย ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐบอกว่า 3 บุคคลที่พรรคเพื่อไทยเลือกไปเป็นรัฐมนตรีไม่ใช่รายชื่อที่พรรคพลังประชารัฐเสนอไป แต่พรรคเพื่อไทยก็แก้เกมได้ บอกว่าสนับสนุนรัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องมาเป็นรัฐมนตรี ให้บุคคลอื่นมาก็ได้ ส่วนพรรคพลังประชารัฐก็ไปสะกิดนายกฯ ว่าคนนั้นไปไม่ได้ก็เอาคนนี้แทนเข้าไป ก็สมประโยชน์กันหมด อย่างตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากเดิมคือ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ก็เปลี่ยนเป็น นายอิทธิ ศิริลัทธยากร บิดาของนายอรรถกร
ทั้งนี้ ตนยอมรับว่า การให้กลุ่มก๊วนหนึ่งในพรรคการเมืองหนึ่งเข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาล เป็นปรากฏการณ์ที่ตนก็ไม่เคยเจอ แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะมีตัวแทนเป็นรัฐมนตรีอยู่ ความเป็นพรรคเขาไม่ถือเป็นสาระ จะอยู่ที่ไหนก็ยกมือให้รัฐบาล และแม้จะถูกขับออกจากพรรคก็มีพรรคการเมืองใหม่ให้เข้าสังกัดอยู่แล้ว ตนจีงย้ำว่าแบบนี้เป็นการทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ แต่หากพรรคการเมืองอ่อนแอรัฐบาลก็อ่อนแอไปด้วย
"คือแนวของคุณทักษิณ เขาต้องสลายพรรคฝ่ายค้านให้หมด โดยเขาเชื่อมั่นว่าถ้ามีรัฐบาลเยอะๆ ฝ่ายค้านน้อยๆ รัฐบาลจะเข้มแข็ง แต่เขาลืมหลักคิดในระบอบประชาธิปไตยว่ารัฐบาลที่ดีมันต้องมีฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง แต่ของคุณทักษิณ รัฐบาลที่ดีมันต้องไม่มีฝ่ายค้านเลย หรือต้องมีฝ่ายค้านที่อ่อนแอ หลักคิดมันตรงกันข้ามกันหมด" นายนิพิฏฐ์ ระบุ
นายนิพิฏฐ์ ยังกล่าวอีกว่า แนวคิดการทำให้ฝ่ายค้านอ่อนแอนั้นนายทักษิณเคยทำมาแล้ว แต่ครั้งนี้หนักกว่าเดิมเพราะถึงขั้นทำให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามแตกสลาย ดังนั้น ณ วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ก็ถือเป็นชัยชนะของนายทักษิณ แต่วันมะรืนหรืออีก 1 - 2 เดือนข้างหน้า อะไรจะเกิดขึ้นนั้นไม่มีอะไรแน่นอน อย่างน้อยสิ่งที่นายทักษิณและพรรคเพื่อไทยจะต้องเผชิญ 1.กฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งนายทักษิณยังมีคดี ม.112 หากไม่มีนิรโทษกรรมก็อาจติดคุกได้ เพราะดูตามเนื้อผ้าแล้วรอดยาก อัยการสูงสุด 2 ท่านยืนยันว่ามีน้ำหนักให้สั่งฟ้องได้ และสุดท้ายก็เชื่อว่านายทักษิณจะหลบหนี
2.ชั้น 14 รพ.ตำรวจ อย่างที่มีความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ว่าเข้าข่ายเลือกปฏิบัติ ส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งหาก ป.ป.ช.จะแหกโผ ก็จะเป็นการทำลายองค์กรอิสระ กลายเป็นองค์กรอิสระไม่มีความแน่นอน องค์กรหนึ่งว่าอย่างนั้น อีกองค์กรว่าอย่างนี้ แล้วประชาชนจะเชื่ออะไร
ชมคลิปเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=kRs_agyNXl4
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี