‘จตุพร’เปิดยุทธการสยบอำนาจครอบครองลูก ปล้นประเทศ เชื่อหลักฐานชั้น 14 อยู่ในกำมือ ป.ป.ช.พร้อมสรรพ รอเวลาเชือดเป้าแรก แล้วจัดการ ‘รัฐบาลสายเลือด’ เตือนข้าราชการรับใช้ให้ทำผิด ต้องผจญวิบากกรรมคุก ไม่มีคนดูแล จับตาขบวนการประชาชนรวมตัวเป็นหนึ่ง ขยับสร้างมาตรฐานการเมืองแบบเกาหลีใต้ เชื่ออนาคตพลังทุกฝ่ายจะลุกกระพือโหมต้านนักการเมืองทุจริต
4 กันยายน 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์เมื่อวันที่ 3 ก.ย.67 ว่า การตรวจสอบข้อมูลนักโทษป่วยชั้น 14 รพ.ตำรวจคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นข้าราชการพวกรัฐใช้กระทำสิ่งผิดย่อมหนีวิบากกรรมคุกไปไม่พ้น และที่สำคัญรัฐบาลสายเลือดจะถูกเผด็จศึกจนย่อยยับเสียสิ้น ยิ่งรัฐบาลลุแก่อำนาจ คิดว่าเสียงข้างมากทำอะไรก็ได้ แต่ลืมไปว่าการทำแบบไม่เห็นหัวประชาชนจะไม่จบลงอย่างสง่างาม สิ่งสำคัญประชาชนไม่เห็นด้วยและไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่อำนาจแบบพิเศษพิสดารอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าที่ผ่านมาความขัดแย้งของประชาชนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อนักการเมืองจากไล่ “ระบอบชินวัตร” มาร่วมมือตั้งรัฐบาลลูกทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่แยแสความรู้สึกประชาชน ดังนั้นการหลอกประชาชนถ้วนหน้าจึงก่อเกิดและขยายความอึดอัดออกไปกว้างขวางขึ้น
“พรรคทั้งหมดถูกทำลายด้วยความอยาก (อำนาจ) และอ้างความสามัคคีเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ถ้าเจ้าของพรรคเพื่อไทยไม่แลกกับเรื่องต้องการกลับบ้านประเทศจะไม่ฉิบหายจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นสิ่งที่บอกว่าไม่ได้เจรจาแต่เมื่อโทรคุยกันครบ (ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) นั้น ก็คือการดีล ซึ่งเกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นจนยากจะเยียวยาและแก้ไขได้”
นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนรายชื่อ ครม.นั้น คาดว่าลงตัวเรียบร้อย และนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ บอกพร้อมลงนามนำทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง แม้รายชื่อ รมต.ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติด้านกฎหมายจากคณะกรรมการกฤษฎีกาตาม ม.160 ของ รธน. 60 แล้ว แต่ถึงที่สุด ศาล รธน.มีอำนาจชี้ขาดคุณสมบัติ รมต. ไม่ใช่คณะกรรมการกฤษฎีกา
“ความสุ่มเสี่ยงของคนเป็น รมต.มีน้อยกว่าความสุ่มเสี่ยงของคนเป็นนายกฯ เพราะไม่ได้ผ่านการตรวจสอบเช่นเดียวกับ รมต. และยังมีเรื่องราวตั้งแต่วันที่นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นนายกฯ แล้วมีการเรียกแกนนำพรรคร่วมเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งแน่นอนสิ่งนี้เป็นการหาเรื่องนำไปสู่หายนะทั้งสิ้น ที่เขา (ทักษิณ) ใช้คำว่า ครอบครองนะถูกแล้ว เพราะใหญ่กว่าครอบงำ”
นายจตุพร กล่าวว่า การตั้ง ครม.คงแล้วเสร็จและการแถลงนโยบายจะตามมา เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่นายกฯ และ รมต.มีความสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้มีเรื่องร้องเรียนไปแล้วจำนวนมาก แต่กรณีนักโทษชั้น 14 จะถูกลงมือจัดการก่อน เพราะเป็นต้นตอของปัญหาทั้งปวง
อย่างไรก็ตาม เมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ขยับเปิดข้อมูลเข้าพบนักโทษชั้น 14 และจะทยอยเปิดหลักฐานที่ละอย่างในเวลาเหมาะสมตามแบบของตำรวจนักสืบสวน ซึ่งคงเป็นการล่อให้ส่วนต่างๆ เปิดตัวออกมาเรื่อยๆ แล้วมาบรรจบกัน อย่างกรณีสำคัญนายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.ประชาธิปัตย์ ไปยื่นขอรายชื่อผู้คุมที่มีหน้าที่ควบคุมทักษิณ ชั้น 14 และมีใครไปเยี่ยมบ้าง ย่อมสะท้อนถึงการบรรจบของชุดข้อมูลตรวจสอบ
“พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปพบทักษิณถึงสองครั้ง ย่อมแสดงถึงหลักฐานว่า มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เฝ้าควบคุมนักโทษชั้น 14 หรือไม่ ป่วยจริงหรือไม่ และอยู่ที่ รพ.ตำรวจตลอดเวลาหรือไม่ ส่วนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ บอกว่าไม่เคยอนุญาตนั้น ก็น่าสนใจ เพราะเมื่อไม่ได้อนุญาตแล้วพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปพบทักษิณได้อย่างไร แล้วคนที่นัดให้ไปพบ เข้าไปพบได้อย่างไรโดยไม่ผ่านผู้คุม ซึ่งเฝ้าอยู่ตลอด 24 ชม.และถ่ายรูปเก็บไว้ทุก 2 ชม.”
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปพบทักษิณ ถ้ามีผู้คุมเฝ้าอยู่จริง ต้องผ่านการบันทึกหลักฐานและตรวจสอบกับ 10 รายชื่ออนุญาตให้เยี่ยม แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ บอกไม่เห็นใครสักคน จึงเป็นหลักฐานสำคัญและเป็นข้อมูลคืบหน้าการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) อย่างมีนัยสำคัญ
“ผมเชื่อว่าที่จะแตกจุดแรกคือ แพทย์ รพ.ตำรวจ เขาไม่มีวันยอมตายด้วย เพราะเขารู้ว่า คนที่ทำงานให้ทักษิณ ติดคุกกันจำนวนมาก ดังนั้น บรรดาแพทย์ที่มีความกล้าผ่าตัดรักษาโรค แต่ทุกคนเกรงกลัวกฎหมายอาญาแผ่นดินทั้งสิ้น ท้ายที่สุดจะพรั่งพรู (ข้อมูลออกมา)”
นายจตุพร กล่าวว่า ในส่วนของกรมราชทัณฑ์จะพรั่งพรูข้อมูลออกมาเช่นกัน เพราะมันคือเดิมพันชีวิตที่ไม่มีใครมาคุมครองได้จากการสมประโยชน์ได้เสร็จสิ้นแล้ว และเป็นธรรมชาติของการรับใช้อำนาจ ซึ่งตัวอย่างของ อดีต รมต.ที่ทำงานให้ทักษิณแล้วติดคุกจำนวนมาก และไม่มีใครมาดูดำดูดีเลย
“เชื่อว่าการจัดการทักษิณคาดยุติลงประมาณ พ.ย.นี้ เท่ากับเสถียรภาพนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ แทบไม่มีความหมายอะไรเลย ดังนั้นยุทธการจึงพุ่งเป้าไปจัดการสยบผู้ครอบครองก่อนเพื่อจัดการผู้ถูกครอบครองในจังหวะเวลาถัดไป ซึ่งมีความเป็นไปได้จะยุติลงไม่เกินตรุษจีนปี 2568”
นายจตุพร กล่าวว่า ปัญหาการทำลายระบบพรรคการเมือง โดยพรรคไทยสร้างไทย ย้อนเล่นงานจริยธรรมไล่ออก สส.ขัดมติพรรค ส่วนพล.อ.ประวิตร ดูเหมือนขณะนี้มีความสุข เริงร่ามากที่สุด นั่นคือสิ่งที่น่ากลัว เพราะแสดงถึงรังสีอำมหิตจัดการอำนาจผู้ครอบครองบังเกิดขึ้นแล้ว และอีกอย่างคงรู้ว่ามีหลักฐานอยู่ในมือคณะตรวจสอบอย่าง ป.ป.ช.ไว้พร้อมแล้ว
สิ่งสำคัญความเจ็บและโกรธที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถูกทำลาย โดยผู้ครอบครองแยกดึงเฉพาะ สส.บางส่วนมาสนับสนุนนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ย่อมเป็นการกระทำที่ขัดกฎหมายพรรคการเมือง เพราะไม่ผ่านมติพรรค และนักการเมืองไม่พึงกระทำนี้เพียงเพื่อต้องการทำลายพรรคการเมืองด้วยกันอย่างสะใจเท่านั้น
นายจตุพร กล่าวว่า หลังความขัดแย้งของนักการเมืองปะทุขึ้นนั้น ประชาชนจำนวนมากจากทุกฝ่ายที่เสียรู้การถูกพรรคการเมืองหักหลังจะไหลมารวมกัน กลายเป็นทัพที่ใหญ่ที่สุดนับแต่ปี 2535 เรื่อยมา แต่ยังประเมินสถานการณ์ไม่ได้ว่า จะออกมาในสภาพไหน เพราะยุคปัจจุบันโซเชียลมีเดียไปไกล
“เรา (ประชาชน) ต้องการสร้างประเพณีการปกครองของประเทศไว้ว่า ถ้าผู้นำทุจริต ฉ้อฉล แล้วประชาชนจะแสดงพลังขับไล่อย่างเกาหลีใต้ เรา (ประเทศ) จะได้ผู้นำที่ดี ซึ่งไม่ต้องจบลงด้วยการรัฐประหาร อย่างไรก็ตาม สำหรับไทยแล้ว ไม่มีใครกล้าการันตีว่า จะไม่เกิดขึ้นมาอีก”
นายจตุพร กล่าวว่า หลักคิดอยากได้อำนาจเหมือนพรรคเพื่อไทยต้องการออกกฎหมายนิรโทษแบบสุดซอยเมื่อปลายปี 2556 เพื่อสนองให้ทักษิณ กลับไทย จึงเป็นความมักง่าย เห็นแก่ตัวเอง ดังนั้น การตั้งรัฐบาลสายเลือดในขณะนี้จึงไม่ใช่ความน่ากลัวอะไร แม้มีข่าวระบุถึงการเรียกผู้บริหารระดับกระทรวงเข้าพบ แต่ ผบ.เหล่าทัพ ไม่ไปตามเหมือนบางหน่วยงาน ย่อมแสดงถึงความสบายใจของบ้านเมืองอยู่บ้าง
“ผมบอกไว้ก่อน ในวันที่ไม่ใช่ ท่านต้องเจอกับเรื่องฝันร้ายมากที่สุด เพราะทุกอย่างเหมือนกับถูกบันทึกไว้ทั้งหมด วันที่ดูเสมือนหนึ่งว่า ไม่มีอะไร เหมือนกับว่าท่านกำลังได้รับการปูนบำเหน็จ แต่พอสถานการณ์เปลี่ยนจะกลายเป็นหนังคนละม้วน” นายจตุพร กล่าว
พร้อมกังวลว่าความวุ่นวายภายใต้การปกครองแบบพ่อครอบครองลูกที่เต็มไปด้วยอำนาจและผลประโยชน์นั้น เชื่อว่าสายป่านประชาชนชนกับกลไกเอาทักษิณกลับไทยจะดำเนินการให้ทันกับเวลารัฐบาลจะผลักดันโครงการผูกขาดผลประโยชน์ทำลายประเทศได้หรือไม่
“โครงการดิจิทัลวอลเล็ตถ้าแจกเป็นเงินสดก็แจกไป หากแจกดิจิทัลมีปัญหาแน่เพราะทำลายระบบเงินตราของประเทศ อีกอย่างจะยอมให้ขายแผ่นดิน 99 ปีเมื่อไร ทั้งแปลงขายคอนโดฯ และในโครงการแลนด์บริดจ์ก็ตาม อย่างไรก็ต้องมีเรื่อง ส่วนบ่อนกาสิโนอย่างไรก็ต้องมีเรื่อง”
นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าประชาชนไม่สำแดงพลังอะไรเลย เท่ากับนำประเทศไปแลกกับหายนะที่เกิดจากบุคคลต้องคดีทุจริต โดยอ้างกลับมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องด้วยการทำบ่อน ขายแผ่นดิน แล้วยังอ้างทำระบบเงินตราประเทศใหม่ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ รวมทั้งจะผูกขาดผลประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนแหล่งพลังงานใต้ทะเลกับกัมพูชา ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกฝ่ายต้องรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อหยุดยั้งการพาประเทศไทยเดินหน้าไปสู่ความฉิบหายย่อยยับ โดยเฉพาะเป้าหมายจะไล่คนจนออกจากที่ดินคลองเตยเพื่อเอาไปสร้างบ่อนกาสิโนแทนที่ ย่อมเป็นหายนะของบ้านเมืองชัดเจน และประเทศไม่ได้ประโยชน์อะไรจากบ่อนพนันในชื่อเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์
นายจตุพร กล่าวว่า อย่าไปสนใจว่าใครจะมาเป็น รมต. ผมสนใจแต่ว่า นายกฯ และพ่อของนายกฯ ที่เข้าไปในเขตข้อกฎหมายแล้ว ดังนั้น ถัดจากนี้ไปไม่ใช่รักษาหน้าใคร แต่เป็นเรื่องของประเทศที่จะเสียหาย ซึ่งคนไทยต้องลุกฮือขึ้นคัดค้านสิ่งที่เรียกว่า มัน (โครงการทุจริต) มาอีกแล้ว และจะไม่ยอมให้คนทุจริตมาสร้างหายนะได้อีก พวกที่ช่วยกระทำในสิ่งที่ผิดจะหนีไม่พ้นวิบากกรรมต้องติดคุก โดยสิ่งต่างเหล่านี้กำลังมาบรรจบกันอีกทั้งการสมคบคิด การทุจริตเชิงนโยบาย การมีผลประโยชน์ทับซ้อนและการอ้างประชาชน อ้างประเทศชาติก็มาอีกแล้ว ทั้งหมดคือการปล้นชาติปล้นแผ่นดินทั้งสิ้น
“หวังว่ามีแต่ประชาชนเท่านั้นต้องร่วมมือกันโดยแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง สามัคคีทุกฝ่าย เปิดประตูบานใหญ่ให้ประชาชนมาร่วมกำหนดแนวทางภายใต้จุดยืนชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ โดยเน้นให้บ้านเมืองมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จึงชวนประชาชนที่อึดอัดไปร่วมให้กำลังกับ คปค. และคณะเปิดเวทีล่วงหน้า 7 ก.ย.นี้ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา” นายจตุพร กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี