สิ้นเดือนกันยายนของทุกปี คนทำงานจากหลายต่อหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานของธุรกิจ รัฐกิจ หรือประชากิจ ก็จะจบชีวิตการทำงานของตนไป
ไม่นับงานการเมือง ซึ่งอาจจะปิดฉากลงเมื่อใดก็ได้ ไม่ต้องรอถึงสิ้นปีงบประมาณ (กันยายน) เช่น นายกฯเศรษฐา ทวีสิน หรืออีกหลายรัฐมนตรี ที่มิได้ถูกคัดเลือกให้เข้ามาอยู่ในรัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร
แต่ชีวิตนักการเมือง หากไม่ตายหรือแขวนนวมไปก่อน ก็อาจจะกลับมาทำงานการเมืองได้อีก
ไม่เหมือนข้าราชการประจำ ซึ่งมีทั้งข้าราชการพลเรือน ข้าราชการตำรวจ พนักงานของรัฐประเภทต่างๆ (ของอำนาจบริหาร) ข้าราชการรัฐสภา (ของอำนาจนิติบัญญัติ) และข้าราชการศาลยุติธรรม (ของอำนาจตุลาการ) ซึ่งจะต้องครบเกษียณอายุสิ้นเดือนกันยายนของทุกปี เมื่อตนมีอายุครบ 60 ปี
หลายแห่งก็จัดงานเลี้ยงส่งแก่ผู้จากไป หรือเลี้ยงอำลา ผู้ที่ยังไม่ครบเกษียณอายุ
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมงานเกษียณอายุของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งหมดประมาณ 300 คน เมื่อเร็วๆ นี้ แล้วรู้สึกประทับใจ ที่นอกจากจะจัดเพื่อแสดงความอาลัย และให้เกียรติ ต่อผู้ที่กำลังจะจากไป และยังจัดเพื่อชี้ทางที่จะเดินต่อไปหลังเกษียณด้วย
มิใช่การจัดงานดื่มสุราเฮฮากัน โดยไม่มีสาระ
งานนี้จัดขึ้นโดยมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่ 48 เพื่อเป็นต้นแบบในการสร้างสุข และมีเป้าหมายเชิงรุกในการให้บริการ
จึงจัดประชุมวิชาการขึ้น สำหรับบุคลากรที่ครบเกษียณอายุประมาณ 300 คน
นอกจากพิธีเปิดโดยผู้ใหญ่ในกระทรวงแล้ว การบรรยายที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะเกษียณ ก็มีหลายหัวข้อ อาทิ
สมดุล กายดี ใจดี ชีวิตดี โดยนายแพทย์สันต์ใจยอดศิลป์ วิทยากรท่านนี้ ก็บรรยายให้ทั้งผู้จะเกษียณ และผู้มาร่วมงาน ฟังถึงการจะมีสุขภาพ (Health) ที่ดี การมีสุขภาวะ (Wellness) ที่เหมาะสมแก่การดำรงชีวิต การออกกำลังกายประจำ การจัดการกับความเครียด และการอยู่ในสังคมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการมีกิจกรรมหรืองานเบาๆ ทำตลอดไป ก็จะทำให้ชีวิตหลังเกษียณ ยั่งยืนได้อย่างมีความสุข
ส่วนหัวข้อต่อไป “เมื่อ AI ครองโลก มนุษย์จะอยู่อย่างไร” โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกูลชัย ราชบัณฑิต และอดีตผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมบูรณาการ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผู้ซึ่งมาบรรยายให้ผู้กำลังจะเกษียณ และผู้มาร่วมงานได้ตระหนักว่า ในชีวิตเราจะต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันจบ จึงจะอยู่ในโลกต่อไปได้อย่างมีความสุข และอย่างน้อยก็เตรียมกายเตรียมใจไปกับ AI (Artificial Intelligence) ด้วย เหมือนกับเมื่อยุคไฟฟ้า (electricity) เข้ามามีบทบาทและพลิกโลกได้อย่างไร AI ก็จะเป็นยุคใหม่อีกยุคหนึ่งที่พลิกโลกเช่นเดียวกัน
จุดจบของมนุษยชาติ ที่มองเห็นอยู่ใกล้ๆ ก็มีอยู่ 3 ประการ คือ
1.สงครามนิวเคลียร์ หรือ (Nuclear War) (ซึ่งจะมีผู้คนล้มตายกันหลายพันล้านคน)
2.เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ (Climate Change) ที่ทุกคนเห็นอยู่แล้วว่า ไฟป่า พายุ ฝนแล้ง ฝนหนัก น้ำท่วม ฯลฯ และ
3.ก็คือ AI นี่เอง ที่อาจจะนำจุดจบมาสู่โลกมนุษย์ได้ และทุกคนจะต้องเตรียมอยู่กับ AI เราจะเตรียมรับมือกับ AI อย่างไร
ต่อไปมนุษย์อาจจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย เพราะ AI จะทำงานให้ทั้งหมด พรมแดนจะหายไป ความเป็นประเทศจะหายไป ผู้ที่ไม่ใช่มืออาชีพด้าน AI หรือมิใช่ AI Elite professional ก็อาจจะต้องเป็นผู้ที่คอยรับแต่เบี้ยยังชีพพื้นฐาน โดยทั่วหน้า (Universal Basic Income หรือ UBI) แม้โลกจะเป็นโลกแห่งความเหลือเฟือ เพราะ AI ทำให้หมด แต่คุณค่าของความเป็นมนุษย์ก็น่าจะลดน้อยถอยลงกว่าในปัจจุบัน
ผู้ฟังคำบรรยายแล้ว ก็คงได้ข้อคิดไปว่า อย่าประมาทต่ออนาคต
ส่วนการบรรยายชั่วโมงสุดท้าย ของการสัมมนา ก็มีหัวข้อว่า Happy Aging ซึ่งอาจแปลเป็นไทยได้ว่า“สูงวัยอย่างมีสุข” โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และประธานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช
องค์ปาฐกได้มากล่าว ว่าเราจะอายุยืนไปทำไมอายุยืนอย่างไร จึงจะมีชีวิตที่มีความสุข ถึงแม้จะเกษียณอายุแล้ว ก็ควรมีงานหลังเกษียณได้ ถ้าเป็นงานที่ให้ประโยชน์แก่ส่วนรวม (พหุชะนะ หิตายะ) และเป็นงานที่ให้ความสุขแก่ส่วนรวม (พหุชะนะ สุขายะ)
แล้วเราจะเอาแรงที่ไหนมาทำงานหลังเกษียณ? ก็ขึ้นอยู่กับว่า มีศรัทธาไหม (Confidence) มีความเพียรไหม(Effort) มีสติไหม (Mindfullness) มีสมาธิไหม (Concentration) และมีปัญญาไหม (Wisdom)
เมื่อเรามีอินทรีย์ 5 เป็นธรรมะเช่นนี้แล้ว เราก็สามารถทำงานต่อหลังเกษียณ เพื่อประโยชน์ และความสุขต่อผู้อื่นได้สำเร็จ
(หมายเหตุผู้เขียน : ซึ่งคิดว่า การเป็นแพทย์ เภสัชกรพยาบาล นักกายภาพบำบัด ฯลฯ ย่อมมีโอกาสที่ดีที่จะทำเช่นนี้ได้ง่าย แต่ผู้ที่อยู่ในอาชีพอื่นก็ย่อมทำได้เช่นเดียวกัน)
เพราะศรัทธา (ความเชื่อมั่น) และวิริยะ (ความเพียร)สติ และสมาธิ ย่อมทำให้เกิดปัญญา ที่จะทำประโยชน์ต่อสังคม และส่วนรวมได้ ตลอดไป
ส่วนอินทรีย์ที่นำไปสู่ความฉิบหาย ก็คือ กิเลส - ตัวกูของกู นั่นเอง
ผู้เกษียณอายุ จึงควรเข้าสู่วันเกษียณที่ภาคภูมิโดยใช้อินทรีย์ 5 เป็นเครื่องนำทาง ทำชีวิตให้เป็นประโยชน์และเป็นสุข ทั้งต่อตนเอง และต่อผู้อื่น
ท่านก็จะมี Happy Aging หรือสูงวัยอย่างมีสุขได้แน่แท้
หมายเหตุ ผู้เขียนขออภัย หากการสรุปมีการขาดตกบกพร่องไปบ้าง แต่ก็หวังว่า ในปีต่อๆ ไป งานเกษียณอายุของหน่วยราชการ บริษัท ห้างร้านต่างๆ จะมี
สิ่งที่มีคุณค่าเช่นนี้เกิดขึ้นบ้าง
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี