ปชน.สับทิ้งทวนนโยบาย‘อิ๊งค์’
ครม.‘ตรายาง’
ไร้อำนาจในการตัดสินใจ
รบ.ขอบคุณรัฐสภาชี้แนะ
ขอเชื่อมือบริหารประเทศ
วอนหยุดโจมตีจับผิดนายกฯ
ปิดฉากแถลงนโยบายรัฐบาล “แพทองธาร” 2 วัน ใช้เวลากว่า 31 ชั่วโมง “ปชน.”หยัน ทิ้งท้าย “ครม.ตรายาง” ไร้อำนาจตัดสินใจ “ภูมิธรรม” เหน็บกลับฝ่ายค้านนี่ไม่ใช่เวทีซักฟอกไม่ไว้วางใจขอเชื่อมือบริหารประเทศ ย้ำเป้าหมายสูงสุดคนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี โฆษกพท.โอ่สรุปแถลงนโยบาย นายกฯสมบูรณ์100% วอนลดวาทกรรมแล้วทำงาน หยุดจับผิดนายกฯอิ๊งค์
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้น ทั้งนี้สมาชิกรัฐสภาทั้งสส.และสว.รวมถึงครม.ใช้เวลาอภิปรายและตอบชี้แจงตลอดทั้ง 2วัน (12-13ก.ย.)ไปทั้งสิ้นกว่า 31 ชั่วโมง ซึ่งกินเวลาไปมากกว่า ที่วิปสามฝ่ายตกลงกันไว้ที่29ชั่วโมง
หลังที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้พิจารณาวาระพิจารณาแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ต่อเนื่อง 2 วัน และเสร็จสิ้นวันสุดท้าย เมื่อคืนวันที่ 14 กันยายน โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาทำหน้าที่ประธานการประชุม ตลอดทั้งวันจนถึงช่วงดึกสมาชิกรัฐสภา ทั้งสส. และสมาชิกวุฒิสภา(สว.) รวมถึงฟากของคณะรัฐมนตรี(ครม.)สลับขึ้นชี้แจงกันอย่างกว้างขวาง แม้จะการประท้วงโต้เถียงกันอยู่เป็นระยะๆ โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาชน ที่ใช้เวทีดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่เสมือนการอภิปรายแบบไม่ไว้วางใจ แต่ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายบานปลายจนเกินควบคุมแต่อย่างใด
ชำแหละครม.เดิมเปลี่ยนอะไหล่
โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตัวแทนพรรคฝ่ายค้านอภิปรายสรุปว่าวาระนี้ไม่ใช่การแถลงนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ แต่เป็นการแถลงความคืบหน้า และแผนงานของรัฐบาลเดิมที่ได้ทำงานครบมาแล้ว 1 ปี ถึงแม้นายกฯอาจจะเปลี่ยนคน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนพรรค ถึงแม้รัฐมนตรีบางกระทรวงอาจจะเปลี่ยนชื่อ แต่หลายคนก็ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล ขณะที่องค์ประกอบโดยรวมของรัฐบาลก็ยังเป็นแบบเดิมมีเพียงการเปลี่ยนอะไหล่เล็กๆน้อยๆที่ไม่ได้มีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด ก่อนที่เราจะเริ่มเคลิ้มกับนโยบายของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ได้แถลงต่อรัฐสภา 2วัน เราต้องย้อนไปดูว่ารัฐบาลเศรษฐา ทวีสินได้ทำตามคำพูดที่สวยหรู ได้สัญญาต่อรัฐสภาตอนแถลงนโยบายเมื่อ 1ปีที่แล้วหรือไม่ วิธีคาดการณ์ที่ดีที่สุดในอนาคตคือการศึกษาอดีต 3 ปีข้างหน้าภายใต้รัฐบาลน.ส.แพรทองธารจะเป็นเช่นไร ตนคิดว่า 1 ปีที่ผ่านมาภายใต้รัฐบาลเศรษฐาเป็นคำตอบได้ในเบื้องต้น
สับ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’หยันแค่ลมปาก
นายพริษฐ์ กล่าวว่า หากจะประเมินนโยบายเศรษฐา ระยะสั้น 5 เรื่อง ที่ประชาชนคาดหวังจะทำให้สำเร็จ 1 ปีได้แก่ดิจิตัลวอลเล็ตก็เป็นแค่ลมปากกลับไปกลับมา ตลอด1ปีก็หมกมุ่นอยู่กับการกับการปัญหาจนไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับไปกลับมา จากที่เคยบอกแจกสงกรานต์จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถแจกได้ แม้แต่บาทเดียว เรื่องปัญหาหนี้สิน เป็นมาตรการเดิมๆเพิ่มเติมคืองานอีเวนต์ เรื่องพลังงานเป็นโปรโมชั่นระยะสั้น ที่แป๊ปเดียวหมดอายุ เรื่องท่องเที่ยว ก็ขยันผิดจุด ทำเยอะ แต่ยังไม่ตรงจุด เรื่องรัฐธรรมนูญก็ยึกๆยักๆเดินหน้าเป็นวงกลม ประชามติยังไม่เกิด
“ผลงานรัฐบาลเศรษฐาในมิตินโยบายระยะสั้น 5 ข้อ เปรียบเสมือนกับการนำพาประเทศไทยขึ้น“รถไฟเหาะ” ที่เหมือนจะเดินไปข้างหน้า แต่เดินแบบซ้ายที ขวาที ขึ้นๆลงๆตีลังกาไปตีลังกามา แต่สุดท้ายก็นำพาประเทศกลับมาอยู่ที่จุดเดิม 1ปีที่ผ่านมารัฐบาลเศรษฐาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่สามารถทำได้ตามคำพูดที่แถลงเอาไว้ต่อรัฐสภา แล้วอะไรจะเป็นรับประกันว่าในอีก3ปีข้างหน้ารัฐบาลของคุณแพทองธาร จะสามารถทำตามคำพูดสวยหรูที่ได้ให้ไว้กับรัฐสภาตลอด2วันที่ผ่านมา” นายพริษฐ์ กล่าว
คักคอ 3ปัญหาหลักค้ำคอรัฐบาล
นายพริษฐ์ยังมีความกังวลใจต่อชุดนโยบายรัฐบาลแพทองธาร ถ้านำทั้ง 2รัฐบาลเศรษฐา มาเปรียบเทียบกันจะเห็นว่ารัฐบาลแพทองธาร มีปัญหาหลัก 3 ด้านคือ 1.คิดไม่ครบ มาตั้งแต่ต้นเลยทำให้กลับไปกลับมา บางเรื่องต้องยอมถอย เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่สุดท้าย ต้องกลับลำแบบ 180 องศาในนโยบายเรือธง ค่าแรงขั้นต่ำ 2.คิดไม่ออก เลยต้องเขียนกว้างๆไว้ก่อน เช่นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สวัสดิการทุกช่วงวัย 3.คิดไม่ซื่อ โดยเอาประชาชนมาบังหน้า เช่นสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ที่มีการเพิ่มเติมเข้ามาในนโยบายท่องเที่ยว ที่ดูเหมือน ไม่ได้ยึดประชาชนเป็นตัวตั้งเพราะควรจะออกมายืนยันว่าจะตั้งในเมืองรองเพื่อกระจายนักท่องเที่ยว และกระจายรายได้ไปทุกภูมิภาค แต่ดูเหมือนรัฐบาลจะไปตั้งอยู่เมืองใหญ่ซึ่งมีการลือกันว่ากลุ่มทุนใหญ่ กำลังแย่งชิงสัมปทานกันอยู่ เรื่องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
เหน็บ‘1ครอบครัว1ที่นั่งรัฐมนตรี’
นายพริษฐ์ยังกล่าวอีกว่าตนมีความกังวลเกี่ยวกับ ที่มาที่ไปและองค์ประกอบของครม.ที่จะเข้าไปผลักดันนโยบายที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์เยอะเกี่ยวกับองค์ประกอบของรัฐบาลชุดนี้ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการสานต่อนโยบาย “ 1ครอบครัว 1ซอฟท์พาวเวอร์”มาเป็น“1ครอบครัว 1ที่นั่งรัฐมนตรี”ซึ่งท้ายสุด ไม่ว่ารัฐมนตรีจะเป็นลูกหลานใคร ญาติใคร แต่เชื่อว่ารัฐมนตรีท่านนั้นรู้ดีว่าประชาชนจะประเมินท่านจากผลงานและความสามารถ หากถูกสั่งให้ทำนโยบายที่ไม่ได้ยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ สุดท้ายคนที่ประชาชนจะลงโทษในคูหาเลือกตั้งจะสาปแช่ง จะถูกดำเนินคดี ก็ไม่ใช่คนที่สั่ง แต่คือตัวท่านเอง
เย้ย‘ครม.ตรายาง’ไร้อำนาจตัดสินใจ
นายพริษฐ์กล่าวว่าส่วนความกังวลถึงองค์ประกอบของ ครม. 3 ข้อ ที่จะเป็นอุปสรรค ต่อรัฐบาลในการผลักดันนโยบาย ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและเป็นบทพิสูจน์ สำคัญต่อภาวะผู้นำ ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย คือ1.ครม.เสี่ยงเป็นครม.ต่างคน ต่างอยู่ ไม่สามารถผลักดันนโยบายที่ต้องอาศัย การประสานงานข้ามกระทรวงได้ 2.ครม.ชุดนี้เสี่ยงเป็น“ครม.ตรายาง”ที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจอย่างแท้จริง จะเกิดวิกฤตในการบริหารราชการแผ่นดินจะตามมาอย่างแน่นอน 3.ครม.ชุดนี้ เสี่ยงเป็น“ครม.ตัวประกัน” ที่จะเจออุปสรรคในการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง
นายพริษฐ์กล่าวว่า เมื่อ 1 ปีที่แล้วพรรคเพื่อไทยตัดสินใจตัดขาดกับพรรคก้าวไกล เพื่อวิ่งเข้าหาเครือข่ายอำนาจเก่าและจับมือกันตั้งรัฐบาล จนไปอยู่ในสภาวะการเป็นตัวประกันในอุ้งมือเครือข่ายอำนาจเก่า แม้1ปีที่ผ่านมาท่านได้ทิ้ง วาระทางการเมือง เอาใจเครือข่ายอำนาจเก่าจนต้องสูญเสียความศรัทธาและความนิยม จากประชาชนที่เก็บสะสมมาตลอด 10-20 ปีที่ผ่านมา แต่ท้ายสุดท่านก็หนีไม่พ้นการถูกระบบและสถาบันทางการเมืองที่ถูกออกแบบโดยเครือข่ายอำนาจเก่า หันกลับมาทิ่มแทง จนนายกฯคนก่อน ของพรรคเพื่อไทยก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งและนายกฯคนใหม่ ก็ถูกล้อมรอบด้วยนิติสงครามอันวิปริต จากทุกทิศซึ่งเราไม่อยากจะเห็นในการเมืองไทย
‘ภูมิธรรม’ขอบคุณรัฐสภาชี้แนะ
หลังสมาชิกอภิปรายตามคิวกันครบถ้วนทุกคนแล้ว นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะตัวแทนรัฐบาล กล่าวปิดการแถลงนโยบายของรัฐบาล ว่าขอบคุณในการแถลงนโยบายของครม.ต่อรัฐสภาตามมาตรา 162ของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่มากล่าวขอบคุณในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในฐานะผู้แทนรัฐบาล ขอบคุณประธานและสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกคน ที่ได้ร่วมกันอภิปรายแสดงความเห็นต่อนโยบายรัฐบาลตลอดระยะเวลา 2 วัน นายกฯและรัฐมนตรีทุกคนได้รับฟังข้อเสนอแนะและความเห็นสส.ทั้งฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลตลอดจนสว.ทุกคน แต่ล้วนเป็นข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินอยู่บนฐานเจตนารมณ์เดียวกันกับนโยบายต่างๆ
แม้การอภิปรายจะมีเบี่ยงเบนในจากข้อเท็จจริงบ้าง บางครั้งเกิดจากการจินตนาการไปไกลเกินกว่าความเป็นจริง แต่ถือว่าข้อเสนอทั้งหลายเริ่มต้นจากเจตนาที่อยากจะเห็นบ้านเมืองได้รับประโยชน์ ครม.จะนำเอาข้อเท็จจริงเหล่านี้ไปจำแนกแยกแยะเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุดต่อประเทศ พร้อมที่จะนำข้อเสนอและข้อคิดเห็นของสมาชิกทุกคนไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดต่อไป
รบ.เผยเป้าหมายสูงสุดคนไทย
โดยภาพรวมของนโยบายที่รัฐบาลได้แถลง เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ต่อยอดการพัฒนา เช่นการแก้ไขหนี้ทั้งระบบ การลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้ประชาชน การแก้ปัญหายาเสพติด การแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ทั้งยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ วางรากฐานสู่อนาคต การยกระดับทักษะแรงงาน รวมทั้งการสนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจดิจิทัล ยังมีนโยบายด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านต่างประเทศ ที่สอดประสานและส่งเสริมความเชื่อมั่นของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ
“รัฐบาล ขอให้ความเชื่อมั่นว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาที่จะช่วยสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติและศักดิ์ศรี เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดตามความมุ่งหวังของรัฐบาล และสมาชิกสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ทุกคน”นายภูมิธรรมย้ำทิ้งท้าย ก่อนประธานรัฐสภาสั่งปิดการประชุมในเวลา 01.09 น.
พท.ขอบคุณข้อเสนอจากทุกฝ่าย
ขณะที่ นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภาพรวมของการแถลงนโยบายตลอด2วันที่ผ่านมา เป็นไปด้วยดี ขอขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาลและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากทุกฝ่าย โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกฯได้นำเสนอนโยบายเร่งด่วน ระยะกลาง การวางรากฐานให้กับประเทศ ครบทุกด้าน จึงถือเป็นการเริ่มต้นการทำหน้าที่ประมุขฝ่ายบริหารได้สมบูรณ์แล้วแต่มีข้อสังเกตที่จับตาคือ ฝ่ายค้านได้พยายามหยิบยกวาทกรรมที่ไม่สามารถก้าวข้ามอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรได้เลย
เป็นที่น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นวาทกรรม นายใหญ่ นายทุน นายหน้า‘ โดยผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาชน หรือวาทกรรมรองหัวหน้าพรรคประชาชนเองในเรื่องอยากเห็นนายกฯมีแสงสว่างในตัวเองซึ่งประชาชนย่อมรู้ดีว่าหมายถึงใคร ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การเมืองใหม่ที่อยากเป็นนั้น ไม่มีอยู่จริง กลับทำให้การอภิปรายนโยบายคณะรัฐมนตรี บิดเบี้ยวจนคล้ายกับเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการประชุมรัฐสภาในครั้งนี้
หยุดสาดวาทกรรม จับผิดนายกฯ
“ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากกับพี่น้องชาวเชียงราย เชียงใหม่ที่กำลังประสบอุทกภัย รัฐบาล ได้สั่งการหน่วยงานในสังกัดไปล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯได้เสร็จสิ้นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาได้ลงพื้นที่ให้กำลังใจและสั่งการ กำชับทุกฝ่ายช่วยเหลือเยียวยาประชาชน เป็นเวลาที่ทุกภาคส่วนควรร่วมมือร่วมใจกันทำงานเพื่อประชาชนมากกว่าการสาดวาทกรรม จับผิด การทำงานของนายกฯซึ่งไม่เกิดผลดีต่อสถานการณ์ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนแต่อย่างใด”โฆษกพรรคเพื่อไทย ย้ำ
เรืองไกรร้องสอบจริยธรรมอีก
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า กรณีเสนอชื่อ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นั้น จะเข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี