ให้โอกาส‘อุ๊งอิ๊งค์’ไถ่บาป! ‘สมชาย’แนะจบเรื่อง‘ที่ดินอัลไพน์’ส่งมรดกที่ไม่มีสิทธิ์ได้คืนวัด
9 ต.ค. 2567 นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่มาเกี่ยวข้องกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องนี้ต้องย้อนไปในปี 2514 หรือเมื่อ 53 ปีก่อน คุณยายเนื่อมซึ่งไม่มีบุตร ได้ยกที่ดิน 2 แปลงให้กับวัดธรรมิการาม หรือวัดเขาช่องกระจก จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ที่ดินนี้ซึ่งมีเนื้อที่รวมกัน 924 ไร่ อยู่ในพื้นที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
โดยการมอบที่ดินทำกันที่ อ.พระนคร ยายเนื่อมเขียนไว้ในข้อ 4 ของพินัยกรรม ว่า ที่ดินต่างๆ ขอยกให้วัดเพื่อดูแลศาสนกิจของพระภิกษุ-สามเณร ซึ่งเมื่อโอนให้วัดก็จะกลายเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ตามกฎหมายทันที ไม่ได้เป็นที่ดินของวัด และการจะเพิกถอนสถานะธรณีสงฆ์ก็ต้องไปออกกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ในลักษณะเดียวกับเมื่อรัฐจะเวนคืนที่ดินของประชาชนเพื่อไปใช้ก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ก็ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเช่นกัน
“กรณีนี้มีความชัดเจน แต่มีการบิด เนื่องจากพอหลังคุณยายเนื่อมเสียชีวิตปี 2514 วัดก็ยังไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เก็บค่าเช่านาของชาวบ้าน ซึ่งสมัยก่อนเป็นนา จนกระทั่งปัญหาว่าเจ้าอาวาสในขณะนั้นบอกว่าจะไม่รับที่ดินวัดแล้ว ค่าโอนแพง ซึ่งก็อาจมีนายทุนไปวิ่งล็อบบี้ เพาะเห็นเป็นที่แปลงใหญ่และใกล้เมืองหลวง ก็มีการเล่นแร่แปรธาตุจนกระทั่งกรรมการ 2 ท่านลาออก แต่ก็ทำไม่สำเร็จจนกรรมการท่านหนึ่งเสียชีวิต ก็จึงมีการไปจัดตั้งมูลนิธิเข้ามา แล้วเกี่ยวพันกับนักการเมือง” นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า จากนั้นก็มีการไปตั้งบริษัทรับซื้อที่ของภรรยาของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในเวลานั้น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีกรมที่ดิน และมีกฎหมายเขียนว่า การโอนที่ดินให้วัดเกิน 50 ไร่ ต้องให้รัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ที่ผ่านมามีการยกที่ให้วัด ในป่าในเขาบ้าง ก็เซ็นอนุมัติมาตลอด แต่ที่แปลงนี้อาจเป็นทำเลทองเลยไม่เซ็น นำไปสู่การที่มูลนิธิซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกปล่อยขายที่ดินให้บริษัท แล้วบริษัทก็รีบปล่อยขายภายในวันเดียวกัน 924 ไร่ ไร่ละ 1.3 แสนบาท ทั้งหมดราว 200-300 ล้านบาท ขายให้นอมินี จนกลายมาเป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์
ขณะที่ความเดือดร้อนของชาวบ้านคือที่ดินที่กลายเป็นหมู่บ้าน เพราะชาวบ้านไปซื้อแต่ไม่สามารถกู้ธนาคารได้ ทำให้หมู่บ้านดังกล่าวมีสภาพรกร้าง ส่วนที่อยู่ก็ไม่มีสถานะเป็นที่ดิน เนื่องจากตามหลักกฎหมายแล้วที่ดินแปลงนี้โมฆะมาตั้งแต่ต้น การนำที่ดินที่เจ้าของมอบให้วัด แล้วมูลนิธินำไปขายให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลายเป็นสนามกอล์ฟส่วนหนึ่งและหมู่บ้านอีกส่วนหนึ่ง ในทางกฎหมายถือว่าไม่เคยมีการกระทำต่างๆ เกิดขึ้น เพราะ 1.เจ้ามรดกทำพินัยกรรมระบุวัตถุประสงค์ไว้ชัดเจน และ 2.มูลนิธิเป็นเพียงผู้จัดการมรดก ไม่มีสิทธิ์ขาย ทำได้เพียงปล่อยเช่า
แต่เมื่อมูลนิธินำไปขายแล้วกลายสภาพเป็นหมู่บ้าน ประชาชนที่เข้าไปซื้อบ้านก็ไม่มีโฉนด หรือโฉนดที่มีนั้นก็ถือเป็นของปลอมทั้งหมดแม้กรมที่ดินจะอนุมัติให้ออกโฉนดก็ตาม ในอนาคตโฉนดเหล่านั้นจะต้องถูกตีตราว่าโมฆะตั้งแต่ปี 2514 และที่ดินก็ต้องกลับไปอยู่กับวัดธรรมิการาม มีสถานะเป็นที่ธรณีสงฆ์ โดยคดีนี้จบไปแล้ว อย่างที่ทราบกันว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
“มีการเอาเข้าที่ประชุมใหญ่ หมายถึงกฤษฎีกาทั้งหมด นักกฎหมาย 10 กว่าคณะ ชี้เป็นที่ของวัดตั้งแต่คุณยายเนื่อมเสียชีวิต และตกเป็นธรณีสงฆ์ตั้งแต่ตอนนั้น จะทำการซื้อ-ขาย-จ่าย-โอนไม่ได้ และเป็นโมฆะย้อนหลังตั้งแต่วันนั้น คุณยงยุทธอ้างในการต่อสู้ว่าทำหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ที่ดิน เหนือกว่ามติที่ประชุมใหญ่กฤษฎีกา คำพิพากษาเขียนชัดว่าคุณยงยุทธผิดเพราะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มิได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2482 ว่าให้ยึดความเห็นของกฤษฎีกาในการปฏิบัติราชการ เพราะถ้าไม่ยึดแล้วจะไม่มีแนวทางใดในการบริหารราชการแผ่นดิน” นายสมชาย ระบุ
นายสมชาย ยังกล่าวอีกว่า ส่วนที่มาเกี่ยวกับ น.ส.แพทองธาร เนื่องจากที่ดินในส่วนของหมู่บ้าน อยู่ในบริษัทที่ น.ส.แพทองธาร และคนอื่นๆ ในตระกูลชินวัตรถือหุ้นอยู่ ซึ่งกรณี น.ส.แพทองธาร โอนหุ้นให้มารดาช้ากว่าที่กฎหมายกำหนดช่วงรับตำแหน่งนายกฯ ใครจะไปร้องเรียนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นที่ตนออกมาเคลื่อนไหว คืออยากให้ น.ส.แพทองธาร ทำสิ่งที่เรียกว่าการไถ่บาปจากสิ่งที่นักการเมืองได้ทำไว้ นั่นคือสั่งการไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้สั่งการไปที่รัฐมนตรีช่วยการการกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดิน
จากนั้นให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ยกเลิกคำสั่งที่นายยงยุทธเคยลงนามไว้ เพื่อให้ที่ดินกลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ ซึ่งในส่วนของประชาชนที่เข้าไปซื้อโครงการหมู่บ้าน จะได้จัดการทำสัญญาเช่ากับวัดธรรมิการาม เพื่อให้มีสถานะอยู่อาศัยอย่างถูกต้อง จะได้ทำธุรกรรมต่างๆ ได้ ส่วนบริษัทที่เอาโครงการหมู่บ้านไปขายก็ต้องหาเงินมาคืนให้ชาวบ้านที่ซื้อด้วย เช่นเดียวกับในส่วนของสนามกอล์ฟ ก็จะได้ไปเจรจาขอเช่าที่ดินกับวัด ซึ่งวัดอาจจะขอเปลี่ยนเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม หรือให้เช่าทำสนามกอล์ฟต่อไปก็ได้
ส่วนคำถามว่าเหตุใดเลือกใช้วิธีส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ แทนที่จะไปร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับตนคือไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในฐานะ สว. แล้ว และไม่ใช่คนที่จะร้องเรียนอะไรบ่อยๆ ตนไม่ใช่นักร้องอาชีพ แต่ถ้าร้องคือเสร็จทุกราย ถือว่าให้โอกาสไถ่บาปให้ตระกูลของตนเองที่ได้ที่ดินมาโดยมิชอบ โดยหลังจากนี้จะมีจดหมายเปิดผนึกอีก 2 ฉบับ ส่งถึง น.ส.แพทองธาร แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง แต่หากไม่ดำเนินการ ก็อย่างที่อธิบายไปแล้วว่านายกฯ มีหน้าที่กำกับการบริหารราชการ หากไม่ทำก็เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ผิด ม.157
ที่สำคัญคือเคยมีคดีตัวอย่างมาแล้ว กรณี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ รับมอบที่ดินมรดกจากนายทวี ไกรคุปต์ ผู้เป็นบิดา แล้วที่ดินนั้นเป็นป่าสงวน คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต ซึ่งถือว่าเทียบเคียงกับกรณีของ น.ส.แพทองธาร คือเป็นเรื่องรับโอนมรดกเหมือนกัน ส่วนการโอนหุ้นออกไปแล้ว ก็ต้องบอกว่า น.ส.แพทองธาร มีสถานะเป็นผู้บริหารด้วย ถือว่าได้รู้เห็นการกระทำผิด อย่างไรก็ไม่อาจหลบความผิดได้ เพียงแต่ที่ตนเสนอเพราะอยากให้หนักเป็นเบา
ซึ่งไม่ว่าทรัพย์นั้นจะ 1 บาท หรือกี่บาท ก็เป็นทรัพย์ที่ผิดมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าบริวารว่านเครือไปทำมาอย่างไรก็แล้วแต่ ในฐานะที่มาเป็นผู้นำประเทศ อยู่ในฐานะที่ต้องแสดงความบริสุทธิ์ อีกทั้งในการแถลงนโยบายยังระบุเรื่องการแก้ปัญหาข้อพิพาทที่ดินทั้งระหว่างรัฐกับประชาชน และระหว่างประชาชนด้วยกัน และในพิธีถวายสัตย์ฯ ก็ให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ เป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน โดยมีรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะทำให้วัดถูกโกง ดังนั้น น.ส.แพทองธาร ต้องแก้ปัญหา
ชมคลิปเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=KQoYlAqHAA0
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี