"ธีรยุทธ"ร้องศาลรธน.สั่ง"ทักษิณ"เลิกใช้เพื่อไทยเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ ยก 6 พฤติการณ์ เข้าข่ายเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ หวั่นหากปล่อยจะเป็นมหันตภัยที่ไม่อาจต้านทานได้ ปัดเป็นมือปืนรับจ้าง แต่รับปรึกษา"ไพบูลย์"จริง
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพระพุทธะอิสระได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เข้ายื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยสั่งให้ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49
นายธีรยุทธ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2567 ตนได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด แต่เมื่อครบกำหนด 15 วันแล้ว คือวันที่ 9 ต.ค.2567 อัยการสูงสุดไม่ได้ดำเนินการส่งคำร้องมาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตนจึงใช้สิทธิในฐานะประชาชนมายื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ โดยมี 6 พฤติการณ์ที่เข้าข่าย คือ 1.หลังนายทักษิณ ได้รับพระราชทานอภัยโทษให้เหลือโทษจำคุก 1 ปี พบว่า นายทักษิณ ใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการสั่งรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ไม่ต้องรับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว โดยไปพักอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
2.นายทักษิณ มีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา และควบคุมการบริหารของรัฐบาลผ่านพรรคเพื่อไทย โดยการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเล ในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทยกัมพูชาในลักษณะเอื้อประโยชน์ ให้กับทางกัมพูชาทั้งที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นอธิปไตยของประเทศไทย 3.นายทักษิณ สั่งให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือกับพรรคประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
4.นายทักษิณ มีพฤติกรรมเป็นเจ้าของครอบครองครอบงำเป็นผู้สั่งการแทนพรรคเพื่อไทยในการเจรจากับพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล เพื่อเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2567 ที่บ้านพักจันทร์ส่องหล้า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง 5.นายทักษิณ มีพฤติกรรมเป็นเจ้าของครอบงำและสั่งการให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยยินยอมตามที่สั่ง และ 6.นายทักษิณ มีพฤติการณ์เป็นผู้ครอบงำและสั่งการให้พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนำนโยบายที่นายทักษิณได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2567 ไปเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาในวันที่ 12 ก.ย.2567
โดยทั้ง 6 พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ชำรุดทรุดโทรมเสื่อมทรามหรืออ่อนแอลง ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้ในหลายคำวินิจฉัย อาทิคำวินิจฉัยสั่งให้พรรคก้าวไกลยุติการกระทำและยุบพรรคก้าวไกล ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุความเสียหายร้ายแรงกับสถาบันพระมหากษัตริย์หรือทำให้เรื่องดังกล่าวลุกลามขยายใหญ่ จนเป็นมหันตภัยที่ไม่อาจต้านทานได้
จึงขอให้ศาลรัฐธรรม นูญวินิจฉัยสั่งการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง รวม 8 ข้อ คือ ให้นายทักษิณ เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เลิกเป็นเจ้าของครอบครองครอบงำ หรือสั่งการดำเนินการของพรรคเพื่อไทย เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดิน เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ และให้พรรคเพื่อไทยเลิกยินยอมให้นายทักษิณ ใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำเหล่านี้
โดย นายธีรยุทธ ปฏิเสธว่า การยื่นคำร้องในครั้งนี้ไม่ได้มีใครสั่งการ หรือรับงานใครมาแม้กระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตนก็ไม่เคยรู้จักหรือพบหน้ากันมาก่อน แต่เกิดจากการที่ตนได้ศึกษาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมาย และมองเห็นถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งยอมรับว่าได้มีการไปขอคำปรึกษาจาก นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าสิ่งที่ตนคิดมันเป็นไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะจากที่เห็นการยุบไทรักธรรม และพรรคก้าวไกล ซึ่งนายไพบูลย์ ก็มองว่าเป็นไปได้รวมถึงได้ปรึกษานักกฎหมายคนอื่นๆ ซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ ก่อนที่จะยกร่างคำร้องนี้ ซึ่งใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูล 2 - 3 เดือน ในขณะนี้ก็ยังไม่ได้หวังผลไปถึงขั้นยุบพรรค เพียงแต่คาดหวังให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยยุติการกระทำ
นายธีรยุทธ ยังกล่าวอีกว่า ในกรณีเรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ตนยึดรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นหลัก และได้เตรียมพยานบุคคล 3 - 4 คน ซึ่งมีชื่อตามรายงานดังกล่าว มาให้ศาลเรียกพิจารณาเรียกตัวมาไต่สวนเพราะถือว่าเป็นพยานบริสุทธิ เมื่อเทียบกับคลิปเสียงหรือรูปภาพ ที่มีการเผยแพร่มาก่อนหน้านี้ เพราะถ้านำเข้ามาประกอบสำนวน หากไม่ได้รับการยินยอมก็อาจผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า พยานบุคคลจะรวมไปถึง พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ด้วยหรือไม่ เพราะเป็นผู้ออกมาเปิดเผยว่าเป็นผู้เข้าพบนายทักษิณ นายธีรยุทธ กล่าวว่า มิอาจก้าวล่วงศาล ศาลเห็นอยู่แล้วว่า พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ ออกมาดำเนินการอย่างไร ตนก็จะยึดตามรายงานของ กสม.เป็นหลัก
ทั้งนี้ การยื่นคำร้องของนายธีรยุทธ ประกอบด้วยคำร้องรวม 65 หน้า เอกสารประกอบคำร้องอีก 443 แผ่น รวมคำร้อง เอกสารประกอบชุดละ 508 แผ่น ทำสำเนารวม 10 ชุด รวมเป็เอกสาร 5,080 แผ่น
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี