พท.เสียงแตก
นิรโทษเหมาเข่งรวม ม.112
นัดหม่ำข้าวพรรคร่วม 21 ต.ค.
“ภูมิธรรม”เผยกินข้าวพรรคร่วม21 ตุลาคมไม่มีประเด็นอะไรพิเศษ ยันแก้รธน.ยังไม่ชัดแสลงหูไม่เสร็จในรบ.นี้ จะกระทบ พท.หรือไม่ วอนอย่าพูด“ถ้า” ด้าน“บิ๊กป้อม”ย่องเงียบเข้าสภาแต่เช้าเซ็นชื่อเสร็จ ชิ่งกลับบ้านป่าขณะที่ “จุรินทร์” เผยมติสส.ปชป.ไม่รับผลศึกษากมธ.นิรโทษกรรม เหตุรวม ม.112 ด้วย หวั่นเป็นสารตั้งต้นนิรโทษกรรมม.112ในอนาคต เข้าข่ายละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา6 ติงรบ.ไตร่ตรองได้คุ้มเสียหรือไม่
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า เวลา 07.40น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางมายังอาคารรัฐสภา พร้อมด้วยทีมรักษาความปลอดภัยส่วนตัว โดยได้ขึ้นมาบริเวณชั้น 2 หน้าห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อมาเซ็นชื่อและยืนยันตัวตน ก่อนที่จะมีการเปิดประชุมในวันนี้ เวลา 09.00น.จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ขึ้นรถส่วนตัวออกจากอาคารรัฐสภาไปทันที ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร เดินทางมาสภาครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรก ภายหลังจากนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตสส.พรรคเพื่อไทย ออกมาเปิดเผยและตรวจสอบขาดการประชุมสภาของ พล.อ.ประวิตร โดยจากการตรวจสอบของนายพร้อมพงศ์ พบว่าตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.66-19ก.ย.67 ที่มีการประชุมทั้งหมด 95 ครั้ง แต่ พล.อ.ประวิตร ขาดประชุม 84ครั้ง
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย(พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการนัดพรรคร่วมรัฐบาลรับประทานอาหารในวันที่ 21ต.ค.จะพูดคุยประเด็นอะไรเป็นพิเศษ ว่า เรายังไม่กำหนดประเด็นที่ชัดเจน เพราะเป็นครั้งแรกของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เวทีนี้จะมีโอกาสแลกเปลี่ยน มองปัญหาและบูรณาการทำงานร่วมกันของพรรคร่วม ใครติดขัดเรื่องการทำงานอะไร ตรงนี้จะได้ทำความเข้าใจ เพื่อให้งานเป็นเอกภาพมากขึ้น ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการพูดคุยถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า คงเป็นประเด็นการเมืองทั่วไป เราจะคุยประเด็นการเมืองทุกเรื่อง ใครสนใจอะไรเป็นพิเศษจะหยิบขึ้นมา วันนี้มาทำความรู้จักกันให้มากขึ้น
เมื่อถามย้ำว่า ก่อนหน้านี้เคยระบุว่าจะเชิญหัวหน้าพรรคร่วม าสรุปแนวทางแก้ไขและธรรมนูญให้ชัด เมื่อมีการพูดคุยของหัวหน้าพรรคร่วมแล้วแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญจะชัดเจนขึ้นหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับวงประชุม เพราะครั้งนี้ไม่ได้กำหนดเป็นวาระ ต้องรอดูว่าจะได้พูดคุยอะไรกันบ้าง
เมื่อถามอีกว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแล้วเสร็จในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ความตั้งใจของพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำ เราพยายามทำให้ทัน แต่จะทันหรือไม่นั้น อยู่ที่การถกเถียง ความเห็นต่างหากไม่มากก็เดินได้เร็ว แต่ถ้าเห็นต่างกันมากก็ต้องใช้เวลา
เมื่อถามย้ำว่า หากไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ จะเป็นปัญหาหรือไม่เพราะเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม กล่าวว่า “อย่าพึ่งพูดถ้า เรายังไม่รู้ เวลายังเหลืออีกสองปีกว่า เกือบสามปี อย่าพึ่งถ้า รอให้สถานการณ์มันเกิด มันมีเงื่อนไขอีกหลายอย่าง” เมื่อถามถึงกรณีกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม จะเสนอผลการศึกษาต่อที่ประชุมสภา นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุย เข้าใจว่าเขาจะเลื่อน เมื่อถามถึงท่าทีพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะมีมติงดออกเสียงต่อรายงานของคณะกรรมาธิการฯ ท่าทีของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่า เรื่องนี้เรายังไม่ได้คุยกัน เป็นความเห็นแต่ละพรรค แต่พอถึงเวลามีการประชุมร่วมกันก็ต้องคุยกันเรื่องเหล่านี้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยรายละเอียดมติที่ประชุม สส.พรรค เมื่อวันที่ 15ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ที่ประชุม สส.พรรคประชาธิปัตย์ได้มีมติไม่เห็นชอบทั้งผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม และไม่เห็นชอบให้ส่งรัฐบาลรับไปพิจารณา ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ข้อคือเพราะกรรมาธิการมีข้อเสนอให้มีการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา112 รวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไขก็ตาม และเพื่อป้องกันการนำผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการไปเป็น“สารตั้งต้น”นิรโทษกรรมความผิดตามมาตรา112ต่อไปในอนาคต ซึ่ง สส.ของพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสามารถทำได้ หากเป็นการนิรโทษกรรมความผิดอันเกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองทั่วไป เพราะอดีตก็เคยมีการทำมา แต่ต้องไม่ควรรวมคดีทุจริตคอรัปชั่น และคดีการกระทำความผิดตามมาตรา 112 เพราะจะมีผลในการส่งเสริมมุมกลับให้มีการละเมิดมาตรา112ในอนาคต
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า อีกทั้งการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา112 อาจเข้าข่ายเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา6 ที่ระบุชัดเจนว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้” เพื่อคุ้มครองพระประมุข เฉกเช่นอารยะประเทศทั่วไป และเป็นหลักการสำคัญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การออก พรบ.นิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา112 จึงเป็นเรื่องต้องพึงระวังเป็นอย่างยิ่ง อยากให้รัฐบาลได้ไตร่ตรองให้รอบคอบว่ายังควรเร่งนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภาในวันพฤหัสนี้หรือไม่ จำเป็นแค่ไหนและได้คุ้มเสียหรือไม่
ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานงานแถลงข่าว Kick Off เปิดตัว “โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ”โดยนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจมาเสมอ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ววันที่ 25ก.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นั่นคือการเติมเงินลงไปในระบบครั้งใหญ่ถึง 145,552 ล้านบาท คือเงิน 10,000บาท เป็นเงินสดแจกถึงมือพี่น้องประชาชน และเราได้เก็บในเรื่องผลตอบรับต่างๆที่มาจากประชาชนกลุ่มที่ได้รับเงิน 10,000บาทกลุ่มแรก ซึ่งทุกคนได้รับประโยชน์มาก บางบ้านได้มากกว่า10,000 เพราะมีหลายคน บางบ้านได้ 2-3หมื่นบาท หรือมารวมกันเพื่อทำธุรกิจเล็กๆ ก็สามารถเกิดธุรกิจใหม่ขึ้นมาได้สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ นั่นเป็นสิ่งที่รัฐบาลรู้สึกภาคภูมิใจ และคิดต่อว่าเราจะกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบนโยบายต่างๆ ซัพพอร์ตโครงการต่างๆให้กับพี่น้องประชาชน และวันนี้ที่เราได้ทราบว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นสิ่งที่ต่อยอดจากการที่แจกเงินสดไปแล้วเข้าไปในระบบ
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้การฟื้นฟูเศรษฐกิจจะรับไม้ต่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยอย่างต่อเนื่องและช่วยส่งเสริมให้โครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่ากับภาษี โดยโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจในรอบนี้จะเน้นผู้ประกอบการรายเล็ก ซึ่งมีถึง 95% ของผู้ประกอบการทั้งหมด ถือว่าเป็นส่วนใหญ่มาก และเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย วันนี้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจเราจะทำเพื่อลดรายจ่าย เพิ่มการขยายโอกาส โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 5 เดือน ซึ่งโครงการนี้ได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่เดือน ก.ย. แล้วจะจบลงเดือน ม.ค.นี้ ซึ่งโครงการนี้มี 3 ส่วนที่สำคัญ โดยส่วนแรกลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก ซึ่งการลดต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญมาก จะสามารถทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนต่ำลงและสามารถหายใจได้โล่งขึ้น
ส่วนที่2 การเพิ่มพื้นที่ขายให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก โดยสนับสนุนพื้นที่จากหน่วยงานของราชการและพื้นที่ของเอกชนให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้มีช่องทางทำมาหากินเพิ่มมากขึ้น และมีหลายหน่วยงานเข้ามาให้ความร่วมมือในส่วนนี้ เช่น กระทรวงกลาโหม ได้นำพื้นที่ค่ายทหารมาทำเป็นตลาดนัด รวมถึงกระทรวงมหาดไทย ในการใช้ลานหน้าศาลากลางจังหวัด รวมถึงการจัดตลาดพาณิชย์กว่า 1,300 ครั้ง ในพื้นที่ทั่วประเทศไทย
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนที่3 คือการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนโดยการจับมือกับผู้ผลิตและผู้ค้าส่งรายใหญ่เพื่อลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและจัดงานมหกรรมลดราคาสินค้า โดยมีทั้งภาคเอกชนและผู้ผลิตรายใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ผู้ให้บริการในปั๊มน้ำมัน แพลตฟอร์มการขายออนไลน์รวม 130ราย ซึ่งมีสาขาย่อยกว่าแสนสาขา ร่วมกันในการลดราคาสินค้าในโครงการนี้ และจากโครงการนี้รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากถึง 110,000ล้านบาท ซึ่งจะเป็นผลลัพธ์ของการที่ผนึกกำลังกันอย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นของรัฐ เอกชน และนโยบายนี้รัฐอยากให้เกิดเป็นรูปธรรมจึงดึงความร่วมมือของเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี