สภาถกรายงานนิรโทษกรรม
พรรครบ.รุมต้าน
นิรโทษยกเข่งรวมคดี ม.112
ชี้อ่อนไหว-นำสู่ขัดแย้งได้
เลื่อนแก้รธน.ไปสมัยหน้า
วิปสองฝ่ายเคาะแก้รธน.กระชั้นชิดเกินไป เลื่อนถกไปสมัยประชุมหน้ากลางธันวาคมสภาฯถกรายงานนิรโทษกรรม! “ชูศักดิ์”ย้ำนิรโทษฯ“ม.110-ม.112”ยังเป็นประเด็นอ่อนไหว-อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ แจงไม่มีบทบังคับ-ผูกมัดให้“ครม.”ดำเนินการ “สส.รัฐบาล-ฝ่ายค้าน” เห็นต่างตามคาดปม ‘นิรโทษกรรม’เหมาเข่งผิด ‘ม.112’ ปชน.หนุนสุดตัวรวมนิรโทษฯคดี112ลั่นอย่าขวาง-ปิดประตูใส่ลูกหลาน พท.ค้านนิรโทษฯรวมคดีม.110-112 ‘ภท.’ไม่เอาเหมายกเข่งคดี112 ฮึ่ม!กลับไม่ร่วมเป็นมิตร-สังฆกรรมปชป.-รทสช.ย้ำจุดไม่รับรายงาน ค้านนิรโทษฯเหมาเข่ง
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธาน ภายหลังเสร็จวาระให้ สส.หารือปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่แล้ว นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) ได้แจ้งผลการหารือกับ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย(พท.) ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กรณีวันประชุมสภาฯในสัปดาห์หน้าว่าประธานวิปทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าในสัปดาห์หน้าจะมีประชุมวันที่ 24-25 ต.ค.โดยวันที่ 24 ต.ค.จะเป็นกระทู้ต่างๆ เพื่อตรวจสอบรัฐบาล วันที่ 25 ต.ค.จะเป็นการพิจารณาญัตติต่างๆ ที่ค้างอยู่
เลื่อนถกแก้รธน.เป็นสมัยประชุมหน้า
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า หากพิจารณาในสมัยประชุมนี้จะเป็นการกระชั้นชิดเกินไป จึงต้องการจะพิจารณาเรื่องนี้ในสมัยประชุมหน้า เบื้องต้นทางสภาฯ เห็นว่าวันที่ 16-18 ธ.ค.โดยประมาณ ซึ่งอยากให้นายวันมูหะมัดนอร์นำช่วงวันดังกล่าวไปหารือกับ นายมงคล สุรัจจะ ประธานวุฒิสภา
ด้าน นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่าการประชุมร่วมรัฐสภาในสมัยหน้านั้น ตนจะได้หารือกับนายมงคล ก่อน ซึ่งตอนนี้นายมงคลไม่อยู่ เนื่องจากมีภารกิจติดประชุมที่ต่างประเทศเมื่อกลับมา ตนจะไปปรึกษาท่าน หากได้ผลเป็นอย่างไร จะเรียกวิป3ฝ่ายมาประชุมโดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง หากมีข้อกฎหมายที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาก็สามารถนำเสนอก่อนประชุมได้
สภาฯ’ลุยถกรายงานนิรโทษกรรม!
ต่อมา เวลา14.00น.ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่2ทำหน้าที่ประธานได้เริ่มเข้าสู่การพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเสร็จแล้วซึ่งมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกมธ.ฯ
โดยนายชูศักดิ์ชี้แจงรายงานตอนหนึ่งว่าการนิรโทษกรรมไม่ใช่การยกเลิกความผิดการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมาแต่สมควรเป็นการยกเลิกความรับผิดแก้ปัญหาขัดแย้งในบ้านเมืองในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ทั้งนี้การตรากฎหมายนิรโทษกรรมเป็นเครื่องมือให้ประเทศเดินหน้าซึ่งในอดีตประเทศไทยมีกฎหมายนิรโทษกรรม23ฉบับ สำหรับรายงาน กมธ.เป็นการศึกษาแนวทางการตรากฎหมาย ไม่ใช่การพิจารณาหรือยกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมซึ่งมีข้อเสนแนะแนวทางหากมีการยกร่าง หรือตราพ.ร.บ.นิรโทษกรรมต่อไปว่าควรหรือไม่ควรรวมการกระทำ ที่เป็นประโยชน์ที่ต่อประเทศชาติโดยรวม
เสนอแนวทางเพื่อยุติความขัดแย้ง
“กมธ.เสนอความเห็นในทุกมิติเพื่อให้สภาฯ ศึกษา เรียนรู้รับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน แม้รายงานเป็นการศึกษาแนววางการตรา พ.ร.บ.แต่ได้เสนอแนะแนวทางอื่นๆ เพื่อยุติความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจอันดีของสังคมไทย เช่นขอพระราชทานอภัยโทษ แนวทางล้างมลทิน การชะลอการฟ้อง สั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะและตราพ.ร.บ.ที่มีเงื่อนไขตามกระบวนการที่เกิดขึ้น”นายชูศักดิ์ กล่าว
ย้ำนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข
นายชูศักดิ์กล่าวถึงสาระของรายงานกมธ.ว่าควรกำหนดขอบเขตการนิรโทษกรรมตั้งแต่ปี2548ถึงปัจจุบันการกระทำที่ควรได้รับนิรโทษกรรมเน้นมูลเหตุที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง โดยกมธ.แยกในคดีหลักเช่นในฐานะเป็นกบฎ การกระทำในคดีรอง เช่นความผิดต่อเจ้าพนักงาน และแยกคดีที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองออกมาพิจารณาเฉพาะโดยแสดงเหตุผลทุกมิติทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยรวมถึงการแสวงหามาตรอื่นๆเช่นการนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข สำหรับรูปแบบการนิรโทษกรรม กำหนดให้เป็นการนิรโทษกรรมแบบอัตโนมัติมีคณะกรรมการพิจารณาและผสมผสาน ทั้งนี้กรณีตั้งกรรมการนั้นเนื่องจากช่วงเวลาของเหตุการณ์ซึ่งมีคดีที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก เมื่อมีคณะกรรมการพิจารณาจะทำให้การนิรโทษกรรมถูกต้องเป็นธรรม
ชี้ม.112ประเด็นอ่อนไหว-นำสู่ขัดแย้ง
นายชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า มีการเสนอแนะแนทางการตรา พ.ร.บ.อาจทำเป็นหลายฉบับเพราะเหตุการณ์ หรือพฤติกรรมของการกระทำนั้นแตกต่างกัน สำหรับข้อสังเกตของกมธ.นั้นมีหลายแนวทางเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องและคาม.รับไปดำเนินการ เช่นการอำนวยความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 110 และ มาตรา 112 ยังคงเป็นประเด็นที่อ่อนไหวและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ อย่างไรก็ตามข้อสังเกตของกมธ.ไม่ได้บังคับหรือผูกมัดครม.ที่จะดำเนินการตามที่เสนอ
“รายงานนี้ขอเลื่อนการพิจารณามา2-3ครั้งเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันว่าไม่ใช่การพิจารณาพ.ร.บ.แต่เป็นการศึกษาของกมธ.ที่ได้รับมอบหมายจากสภาฯดังนั้นที่ประชุมควรรับทราบรายงานเพื่อนำผลการศึกษาไปพิจารณาประกอบกับการยกร่างกฎหมายในอนาคต”นายชูศักดิ์กล่าว
ปชน.หนุนสุดตัวรวมนิรโทษฯคดี112
จากนั้นได้มีการอภิปรายสนับสนุนรายงานของกมธ.พร้อมกับแสดงความเห็นเพิ่มเติมต่อประเด็นการนิรโทษกรรมคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ในส่วนของ สส.พรรคฝ่ายค้าน ที่มีพรรคประชาชน(ปชน.)เป็นแกนนำ ได้สนับสนุนให้นิรโทษกรรมรวมความผิดคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา112ด้วย อาทิ นายวีรนันท์ ฮวดศรี สส.ขอนแก่น พรรคประชาชน อภิปรายว่า ในประเด็นมาตรา 112 ที่กมธ.วางแนวทางให้เป็นคดีอ่อนไหวทางการเมือง เชื่อว่าจะเป็นตีกรอบการนิรโทษกรรมที่คับแคบเกินไป ทั้งที่ควรเปิดกว้าง เบื้องต้นคาดว่าจะมีผลคือกีดกันคดีดังกล่าวออกจากการนิรโทษกรรม หากต้องการก้าวข้ามความขัดแย้งและสร้างความสามัคคีต้องมัดรวมการนิรโทษกรรมคดี มาตรา 112 ด้วย
อ้อนอย่าขวาง-ปิดประตูใส่ลูกหลาน
ด้านนายชริน วงศ์พันธ์เที่ยง สส.พระนครศรีอยุธยา พรรคประชาชนอภิปรายว่ารายงานของกมธ.ที่แสดงความเห็นต่อคดีมาตรา112แบบอิหลักอิเหลื่อ ไม่ชัดเจน จะทำให้ผู้ที่ต้องคดีมาตรา112ซึ่งถูกกลั่นแกล้ง หรือแจ้งความเกินกว่าเหตุจะเคว้งทันที ซึ่งกรณีไม่นิรโทษกรรมคดีมาตรา112จะไม่เกิดประโยชน์สูงสุดตามจำเป็น เท่ากับปิดประตูไม่ให้ลูกหลานเข้าบ้าน ดังนั้นควรเปิดใจและคุยแบบมีวุฒิภาวะ
พท.ค้านนิรโทษรวมคดีม.110-112
ในซีกสส.พรรคร่วมรัฐบาลต่างมีความชัดเจนว่าการนิรโทษกรรมไม่ควรรวมคดีที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองหรือมาตรา112 โดยนายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย สำหรับการนิรโทษกรรม มาตรา 112 รายงานดังกล่าวมีข้อสรุปแต่ไม่สรุปและระบุแนวทางเป็น 3 แนวทาง คือ ไม่นิรโทษกรรม ให้นิรโทษกรรม และนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข ทั้งนี้ความเห็นส่วนตัวมองในประเด็นดังกล่าวว่าสังคมมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายยังมีเวลาที่จะหาฉันทามติ ตนไม่เห็นด้วยกับการรวมมาตรา 110 และ มาตรา112
ภท.ย้ำชัดไม่เอาเหมายกเข่งคดี112
ด้านนายสนอง เทพอักษรณรงค์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทยกล่าวว่าพรรคภูมิใจไทยไม่มีทางยอมให้มีการนิรโทษกรรม ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทั้งนี้ไม่มีใครได้รับผลกระทบจากสถาบันพระมหากษัตริย์แต่ปัจจุบันมีกลุ่มบุคคลปลูกฝังให้คนเห็นต่าง เห็นความไม่สำคัญต่อสถาบัน ซึ่งตนไม่เห็นด้วย หากรายงานฉบับนี้ผ่านไปถึง ครม.และต้องร่างกฎหมาย หากอ้างว่าเป็นมติของสภาที่เห็นชอบรายงานศึกษา จะให้นิรโทษกรรม การกระทำล่วงละเมิดสถาบัน ทั้ง มาตรา 110 หรือ มาตรา 112 และยืนยันาคนของภูมิใจไทย ไม่เป็นมิตรและไม่ยินยอมกับการกระทำ ยืนยันเจตนารมณ์ว่า จะจงรักภักดีและปกป้องสถาบันให้ถึงที่สุด
ขณะที่นางนันทนา สงฆ์ประชา สส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่าการนิรโทษกรรมคดีการเมืองที่ชัดเจน พรรคภูมิใจไทยพร้อมร่วมพิจารณาแต่จะไม่ร่วมพิจารณามาตราหรือรายงานฉบับนี้ทุกกรณีหากมีมาตรา 112เรามีจุดยืนไม่แตะต้องและปกป้องมาตรา 112ด้วยชีวิต พรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยจะแตะต้องมาตรา112และจะไม่พิจารณาเด็ดขาดกับคนที่ทำผิดมาตรา 112เพราะไม่ใช่ความผิดทางการเมือง
ปชป.ไม่รับรายงานนิรโทษฯม.112
ด้านนายจุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) อภิปรายว่า รายงานฉบับนี้ เป็นเพียงแค่การเสนอแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมไม่ใช่ การเสนอพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แต่แนวทางดังกล่าวที่เป็นข้อเสนอนั้นจะเป็น หัวเชื้อ ในการที่จะนำไปสู่การตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมต่อไป ตนได้งานรายงานโดยละเอียดหลายรอบและมีความเห็นเช่นเดียวกับที่สส.ที่มีมติไม่เห็นชอบและไม่เห็นชอบให้ส่งรายงานฉบับนี้ไปยังรัฐบาล และเห็นว่าการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสามารถทำได้ หากเป็นการนิรโทษกรรมความผิดอันเกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองทั่วไปเพราะอดีตก็เคยมีการทำมา แต่ต้องไม่ควรรวมคดีทุจริตคอร์รัปชั่นและคดีการกระทำความผิดตามมาตรา 112 เพราะจะมีผลในการส่งเสริมมุมกลับให้มีการละเมิดมาตรา 112ในอนาคต“ซึ่งผลจากรายงานและข้อสังเกตของกรรมาธิการจะทำให้รัฐบาลหรือกลไกอื่นอาจนำรายงานฉบับนี้ ไปเป็น“สารตั้งต้น”ในการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ความผิดในมาตรา110และ112 ต่อไปได้และหากสภาเห็นชอบกับรายงานฉบับนี้สุดท้าย สภาอาจกลายเป็นตราประทับความชอบธรรมในการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมการกระทำความผิดมาตรา 110 และ 112 ต่อไปในอนาคตได้ตนและพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เห็นชอบกับรายงานฉบับนี้และไม่เห็นควรส่งให้รัฐบาลไปพิจารณา
รทสช.ย้ำคว่ำรายงานนิรโทษกรรม
นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายว่า พรรครวมไทยสร้างชาติไม่เห็นชอบและไม่รับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม เสนอกมธ.นำกลับไปทวบทวน เนื่องจากรายงานดังกล่าวไม่มีความสมบูรณ์ ขาดข้อสรุปที่ชัดเจน รวมทั้งจุดยืนของพรรคชัดเจนว่าต้องไม่มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112โดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐและละเมิดต่อสถาบันหลักของชาติ รวมทั้งหากจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวมเอาผู้กระทำความผิดมาตรา 112 ด้วยก็มีความเสี่ยงว่าการกระทำดังกล่าวจะละเมิดต่อกฎหมาย เช่นกรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยเรื่องทำนองเดียวกันมาแล้วด้วยดังนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติมีมติไม่เห็นชอบต่อรายงานและไม่ขอรับรายงานดังกล่าว
‘พิเชษฐ์’ชิงปิดประชุม-เลื่อนถกนิรโทษฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายสส.ทั้งสองฝ่ายลุกอภิปรายแสดงความคิดเห็นครบทุกพรรคแล้วนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่1ประธานที่ประชุมกล่าวสรุปว่าเนื่องจากรายงานของคณะกมธ.มีความเห็นแตกต่างกันจำนวนมากและกมธ.ได้ชี้แจงแล้วทำให้เข้าใจกันทุกฝ่ายแล้ว แต่นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ประธานวิปฝ่ายค้านทักท้วงควรให้โอกาสกมธ.ชี้แจง จึงขอให้ประธานดำเนินการต่อ
ขณะที่ซีกรัฐบาลทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยพร้อมจะลงมติ แต่ปรากฏว่ากมธ.จะขอชี้แจงต่อ นายพิเชษฐ์ พยายามไกล่เกลี่ยไม่ให้ชี้แจงยังมีอีกหลายคน ซึ่งกมธ.ยังไม่ทันแสดงท่าที นายพิเชษฐ์ได้สั่งปิดการประชุมทันที เมื่อเวลา 16.58 น.แม้จะมีสมาชิกตะโกนทักท้วง แต่นายพิเชษฐ์ไม่สนใจ ส่งผลให้ญัตติด่วนด้วยวาจาขอให้สภาฯศึกษาปัญหาและการแก้ไขกฎหมายเพื่อป้องกันธุรกิจอันเข้าลักษณะการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ ที่ต่อคิวอยู่ ต้องเลื่อนออกไปพิจารณาในสัปดาห์หน้าด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี