กกต.ชี้คำร้อง‘แม้ว’ครอบงำพรรคมีมูล
'เพื่อไทย'งานเข้า
สั่งตั้งกก.สอบภายใน 30 วัน
พ่วงคำร้องเอาผิดอีก 6 พรรค
‘ชูศักดิ์’แจงนิ่มๆ‘ไม่เป็นไร’
ปัดครอบงำ-ใบสั่งเขี่ยพปชร.
กกต.สั่งสอบยุบเพื่อไทย “ทักษิณ” ชี้นำ-ครอบงำ พ่วง 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม หลังนายทะเบียนเห็นมีมูล สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้เสร็จภายใน 30 วัน ก่อนชงกกต.ชุดใหญ่ส่งศาลรธน.สั่งยุบพรรค “ชูศักดิ์” ไม่ถอย ขอสภาฯเดินหน้าถกผลศึกษาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยืนยันไม่ใช่ขั้นตอนออกกม.-ใครไม่เห็นด้วย ก็ไปค้าน ม.112 ในชั้นยกร่าง ขณะที่ “พิเชษฐ์” แจงชิงปิดประชุม ก่อนลงมติรายงานนิรโทษกรรม ตัดสินใจถูกต้องแล้ว เหตุข้อมูล 2 ฝ่ายซ้ำซาก สัปดาห์หน้าค่อยมาว่ากันใหม่ เดินหน้าโหวต ยันปธ.ไม่ได้เลือกข้าง เหตุทุกอย่างชัดเจนแล้ว จวกอย่าเอาสถานการณ์ตัวเองเป็นที่ตั้ง
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้พิจารณา 6คำร้อง ที่มีผู้ร้องขอให้กกต.พิจารณาสั่งยุบพรรคเพื่อไทย (พท.) และ6พรรคร่วมรัฐบาลเดิมจากเหตุ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค กระทำการครอบงำ ชี้นำ และ6พรรคการเมืองยินยอมให้ครอบงำ ชี้นำ โดยเห็นว่า คำร้องมีมูล และให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการสอบสวน และมีความเห็นเสนอ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30วัน แต่สามารถขอขยายได้อีกครั้งละไม่เกิน30วัน จนกว่าจะแล้วเสร็จ
สำหรับกรณีดังกล่าวมีผู้ร้องที่ถูกระบุว่าเป็นบุคคลนิรนาม นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว2006 เป็นผู้ยื่นคำร้อง อ้างถึงพฤติการณ์ของนายทักษิณทั้งการที่แกนนำ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิมไปร่วมประชุมกับนายทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อพิจารณาเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาทวีสิน สิ้นสุดลง
การให้สัมภาษณ์ของ นายทักษิณ หลายครั้งเกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล การชี้นำพรรคเพื่อไทยในการเลือกพรรคร่วมรัฐบาล การนำวิสัยทัศน์ที่นายทักษิณได้แสดงไว้เมื่อวันที่ 22ส.ค.มาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล โดยผู้ร้องเห็นว่าเข้าข่ายขัดมาตรา29 พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ห้ามมิให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการใดอันเป็นการควบคุมครอบงำหรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และการที่พรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิมยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการอันเป็นการควบคุมครอบงำชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ก็เข้าข่ายขัดมาตรา 28 ซึ่งหากการสอบสวนพบว่าเป็นความผิดก็จะเป็นเหตุให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอต่อกกต.ให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรค ตามมาตรา 92 (3) ของกฎหมายเดียวกันได้
ด้าน นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พรบ.) นิรโทษกรรม กล่าวถึงการดำเนินการต่อไป ภายหลังวานนี้ (17 ต.ค.) สภาฯ สั่งปิดการประชุม ทั้งที่ยังพิจารณาผลการศึกษา พ.ร.บ.นิรโทษฯ ไม่แล้วเสร็จ ว่า ความตั้งใจตนอยากให้ผลศึกษาดังกล่าวเข้าสภา เพื่อพิจารณาให้แล้วเสร็จว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งตนก็พยายามอธิบาย แต่ยังมี สส.หลายคนเข้าใจไม่ถูก และเข้าใจผิดอยู่หลายประเด็น ซึ่งจะไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจตนไม่ทราบ เช่น เข้าใจว่ายกเลิก มาตรา 112 ซึ่งตนว่าพรรคร่วมรัฐบาลต่างก็ต้องคุยกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่มาตรา 112 ซึ่งยังมีอยู่ แต่เราพิจารณาเรื่องนิรโทษกรรมเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งดำเนินการมาแล้วหลายครั้ง และมีการอภิปรายเลยไปว่าจะมีการก้าวล่วง ฉะนั้น ตนขอยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าไม่มีใครไปก้าวล่วง และไม่คิดแบบนั้นเลย ตนไม่มั่นใจว่าการกินข้าวพรรคร่วมวันที่ 21ต.ค.ที่นายกฯ เป็นประธาน จะมีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ผู้บริหารจะตัดสินใจว่าจะคุยกันหรือไม่
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า มี สส.อภิปรายว่าไม่ให้นิรโทษกรรมมาตรา 110 และมาตรา 112 ซึ่งเรื่องดังกล่าวอยู่ชั้นร่างกฎหมาย ซึ่งก็ต้องเสนอร่างกฎหมายเข้าไปว่าไม่มี 2 ประเด็นดังกล่าว ถือเป็นสิทธิ และที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ชั้นดังกล่าว เพราะเป็นเพียงแค่รายงานการศึกษา เมื่อถามว่า สรุปแล้วเรื่องที่ยังค้างอยู่ในสภาฯ จะดำเนินอย่างไรต่อไป หรือจะถอนผลการศึกษาออกมา นายชูศักดิ์ ยืนยันว่า ไม่ถอนร่างผลการศึกษา และคงดำเนินการต่อไป เพื่อให้สภาฯ รับทราบว่ามีรายงาน ซึ่งรับทราบไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วย และเมื่อรับทราบแล้วก็ต้องมีข้อสังเกตให้ส่งหน่วยงานต่างๆ ดำเนินการ หรือส่งให้เช่นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการ ก็ต้องลงมติ แต่ถ้าเห็นว่า ไม่ควรส่งให้ ครม.ดำเนินการต่อ ก็ไม่ต้องลงมติ ซึ่งตนก็อยากให้การประชุมสัปดาห์หน้าดำเนินการต่อ เพื่อจบกระบวนการ แต่วิปรัฐบาลก็ยังไม่ได้ยืนยันว่าจะประชุมต่อได้วันไหน แต่ยืนยันก็ต้องพิจารณาให้จบ เพราะเรื่องมันค้างอยู่
ขณะที่ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง กล่าวถึงกรณีเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา สั่งปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรระหว่างจะลงมติรับหรือไม่รับรายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาพิจารณาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ว่า ชัดเจนแล้วว่ามีพรรคการเมือง 2-3 พรรคที่ประกาศตัวว่าไม่เห็นด้วย ขณะที่อีกฝ่ายคือพรรคประชาชน ที่อยากจะให้ลงมติ ซึ่ง กมธ.ก็อยากชี้แจงเพื่อให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยยอมรับ แต่ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้ว คือฝ่ายที่ไม่ยอมรับก็คือไม่ยอมรับ คนที่อยากให้ผ่านก็อยากจะให้ผ่าน ต่อให้จะชี้แจงอีกกี่ชั่วโมงก็เหมือนเดิม กมธ.ชี้แจงมาเต็มที่ จะชี้แจง 2-3รอบทำไม ทำให้ประธานในที่ประชุมต้องต้องใช้วิจารณญาณว่าจะปล่อยให้เกิดความซ้ำซากเช่นนี้ได้อย่างไร
“สุดท้ายผมจึงถามว่าสรุปแล้วจะลงมติเลยหรือไม่ เพราะข้อมูลทั้งหลายก็ซ้ำไปซ้ำมา แต่ถามทาง กมธ. เขาก็ยังอยากชี้แจงอยู่ ไม่อยากให้มีการลงมติ และมีการส่งชื่อมา 6-7 คน แต่ละคนจะพูดกี่นาที”นายพิเชษฐ์ ย้ำ
นายพิเชษฐ์ กล่าวย้ำว่า ต่อให้จะชี้แจงอีกกี่คนก็เหมือนเดิม เพราะตัดสินใจกันไปแล้ว ซึ่งหากจะให้มีการชี้แจงอีกก็จะเป็นการตอบโต้กันไปมา และที่จริงข้อมูลพร้อมที่จะตัดสินใจแล้ว นอกจากนี้ เวลาของวันพฤหัสบดี สส.บางคนก็เตรียมกลับบ้าน จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว ลำพังเอาตามใจตัวเองบางคนอยู่ถึงเที่ยงคืนก็ได้ แต่มันไม่ใช่ เราต้องอยู่ในความพอดี“ผมในฐานะประธานต้องควบคุมและถามว่าตกลงคุณจะโหวตหรือไม่ ทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว คุณจะพูดอะไรอีก ฉะนั้นผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกต้องแล้ว สัปดาห์หน้าเปิดมาก็มาว่ากัน ไม่ต้องชี้แจงแล้ว เปิดมาก็โหวตเลย ซึ่งหากรายงานนี้ไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อมีความขัดแย้งเราก็ต้องโหวตว่าสรุปแล้วจะส่งรัฐบาลหรือไม่ อย่างไร สัปดาห์หน้าก็มาว่ากันใหม่ ไม่มีปัญหา ไม่มีบอกว่าเป็นพรรครัฐบาล ตรงนี้ไม่เกี่ยว ผมอยู่ตรงนี้ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับใครทั้งนั้น ผมเป็นประธาน ไม่ได้มองว่าเป็นพรรคนั้น พรรคนี้หรืออะไร ในสถานการณ์เช่นนั้นอย่าเอาตัวเองมาเป็นที่ตั้ง ตัวเองอยากได้อะไรแล้วไม่ได้ เพราะมีคนขัดใจมันไม่ใช่ ผมไม่ได้เข้าข้างใคร“ นายพิเชษฐ์ กล่าว
ที่สปป.ลาว นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ซึ่งอยู่ระหว่างร่วมการประชุมใหญ่สมัชชารัฐสภาอาเซียนครั้งที่ 45 กล่าวถึงกรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด (ทนายตั้ม) ยื่นหนังสือให้ตรวจสอบ และปลด นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ออกจากคณะกรรมาธิการทุกคณะ หลังปรากฏมีเสียงคล้ายคนในคลิปเรียกรับผลประโยชน์ผู้บริหารดิไอคอน ว่า เมื่อวานนี้ได้เซ็นหนังสือออกไปถึงประธานคณะกรรมาธิการชุดต่างๆให้ตรวจสอบบุคคลที่แต่งตั้งเป็นคณะทำงานหรือที่ปรึกษา ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับการสร้างความเสียหาย ทั้งการเรียกรับเงิน การแอบอ้าง ขอให้ถอดถอนออกได้ทันที เพราะเป็นหน้าที่ของประธานกรรมาธิการแต่ละชุดที่สามารถทำได้ ทั้งนี้รัฐสภาจะมีการตรวจสอบในทางลึกอีกครั้ง ว่ามีกรรมาธิการชุดใดที่มีคณะทำงาน หรือที่ปรึกษาที่สร้างความเสียหายในทำนองนี้เกิดขึ้น ก็สามารถลงโทษได้ในเรื่องของจริยธรรม แต่ถ้ามีความเสียหาย มีผู้ร้องเรียน เป็นคดีอาญาก็สามารถดำเนินการได้
“ผมได้มีการตักเตือนไปแล้ว เพราะจริยธรรมของสมาชิกรัฐสภา และสมาชิกกรรมาธิการมีอยู่ชัดเจนแล้ว หากประพฤติก่อให้เกิดความเสียหาย คนแต่งตั้งคือประธานคณะกรรมาธิการ ต้องรับผิดชอบ ซึ่งบทลงโทษค่อนข้างสูง เพราะต้องส่งเรื่องไป ป.ป.ช. และถ้าป.ป.ช.มีข้อมูล ก็ส่งต่อศาลฎีกา ถ้าผิดก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะคนที่ทำความเสียหายจะฉวยโอกาสเอาผลประโยชน์ไปแอบอ้าง แต่คนรับผิดชอบคือสมาชิกรัฐสภา กับ ประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งตัวเองอาจจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ที่ผ่านมาก็เคยมีมาแล้ว ก็คิดว่าแต่ละกรรมาธิการจะได้ตระหนักตรงนี้ และแก้ไข เพราะเราทำความเสียหายแบบนี้ไม่ได้ บางคนเป็นกรรมาธิการ เป็นที่ปรึกษา เอาบัตรไปแอบอ้างหาประโยชน์ หรือสร้างความสัมพันธ์ให้กับตัวเอง ทั้งที่ความจริงบทบาทของกรรมาธิการ เป็นผู้ช่วย ที่ทำงานให้กับคณะกรรมาธิการเท่านั้น ไม่ได้มีบทบาทในการเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ใดได้เลย และคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นมา ก็ไม่ได้เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ แต่ก็มีบุคคลประเภทเหล่านี้ที่ชอบไปอ้าง เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ดีจะได้มีการระมัดระวังมากขึ้น”ประธานสภาฯ กล่าว
เมื่อถามว่า การแต่งตั้งคนนอกเข้ามา มีทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะบางครั้งต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคคลนั้นโดยเฉพาะ แต่ต่อไปจะเลือกอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอีก ประธานรัฐสภา กล่าวว่า กติกาข้อกฎหมายของรัฐสภา เวลามีกรรมาธิการก็กำหนดชัดเจนว่า ถ้ากรรมาธิการวิสามัญต้องมีตัวแทนของรัฐบาล ตัวแทนของสมาชิกที่ประกอบไปด้วยทุกพรรคการเมืองตามสัดส่วน และมีบุคคลภายนอกอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง เพราะสภาอยากทำงานเชื่อมโยงกับภาคประชาชน จึงจำเป็นต้องมีกรรมาธิการจากบุคคลภายนอกมาเสนอความเห็นในการทำงาน แต่บางครั้งถ้าไม่ได้มาเป็นคณะทำงาน เป็นคนที่ถูกเชิญมาให้ข้อคิดเห็นก็ทำอยู่ตลอด แต่สำหรับที่ปรึกษากรรมาธิการ ต้องทำด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี