กกต.แจงกลั่นกรองข้อมูลก่อน1ชั้น
ย้ำ‘คำร้อง’มีมูล
ลุยสอบยุบพท.-6พรรคร่วม
‘เพื่อไทย’โวยเกมการเมือง
หลังพปชร.ไม่ได้ร่วมรัฐบาล
“เรืองไกร”เติมหลักฐานมัด“แม้ว”ครอบงำเพื่อไทย ส่งเอกสารให้กกต.เพียบ ด้าน“อนุสรณ์-สรวงศ์” โวยเกมการเมืองหลังพลังประชารัฐไม่ได้ร่วมรัฐบาลแต่ชี้แจงได้ไม่กังวลถูกยุบพรรค “บิ๊กป้อม”ตั้ง“ชาญกฤช-ปิยะ”สื่อสารข่าว “ปริญญา” แนะจับตายุบเพื่อไทย แนวทางเดียวกับคดีของพรรคก้าวไกล
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองเปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมิใช่สมาชิกพรรคเพื่อไทย กระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคเพื่อไทยในลักษณะที่ทำให้พรรคเพื่อไทยหรือสมาชิกขาดความอิสระ
ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 28 หรือไม่ และเป็นเหตุให้ต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคเพื่อไทย ตามมาตรา 92 (3) เพราะกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 28 หรือไม่
งัดหลักฐานมัดการครอบงำ
สำหรับ หนังสือดังกล่าว มีเนื้อหาเป็นข้อๆ ดังนี้ ข้อ 1.เมื่อวันที่ 19ตุลาคม2567 เว็บไซต์ect.go.th หน้า รวมข่าว กกต.ได้ลงสำเนาข่าวต่างๆ รวม 23 ข่าว ซึ่งเป็นข่าวเกี่ยวกับการที่นายทะเบียนตั้งกรรมการสอบกรณีการร้องยุบพรรคเพื่อไทย ข้อ 2.การตั้งกรรมการสอบกรณีการร้องยุบพรรคเพื่อไทย ซึ่งพ่วงพรรคร่วมรัฐบาลเดิม 6 พรรคนั้น น่าจะมีส่วนหนึ่งที่เป็นคำร้องกล่าวหาคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 รวมอยู่ด้วย ซึ่ง กกต.ไม่ควรทำการตรวจสอบต่อไป เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำสั่งที่ 52/2566 ไว้เป็นแนวทางแล้ว
ข้อ 3.ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำสั่งที่ 52/2566 ไว้เป็นแนวทาง ดังนี้ “… แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 เป็นการใช้อำนาจในทางการเมืองของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับรัฐสภา อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (1) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา”
ทักษิณไม่ใช่สมาชิกพรรค
ข้อ 4.กรณีการตั้งกรรมการสอบตามข่าวที่ปรากฏนั้น มีมาตรา 21 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ที่ควรนำมาประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งมาตรา 21 วรรคสี่ บัญญัติว่า “ให้หัวหน้าพรรคการเมืองเป็นผู้แทนของพรรคการเมืองในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้ หัวหน้าพรรคการเมืองจะมอบหมายเป็นหนังสือให้เลขาธิการพรรคการเมือง เหรัญญิก พรรคการเมือง นายทะเบียนสมาชิก หรือกรรมการบริหารอื่นของพรรคการเมืองคนหนึ่งหรือหลายคน เป็นผู้ทำการแทนก็ได้”
ข้อ 5.ตามเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2566 ลงข่าวไว้ส่วนหนึ่งว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ข้อ 6.ดังนั้น กรณีการกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมิใช่สมาชิก กระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคเพื่อไทยในลักษณะที่ทำให้พรรคเพื่อไทย หรือสมาชิกขาดความอิสระ
ฝ่าฝืนพรบ.พรรคการเมือง
ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 28 หรือไม่ นั้น จึงมีเหตุอันควรตรวจสอบหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะเป็นผู้แทนของพรรคเพื่อไทยในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก ทั้งนี้ ตามความในมาตรา 21 วรรคสี่ ดังกล่าว
ข้อ 7.กรณีที่นายทะเบียนได้ตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานนั้น ย่อมเป็นไปตามความในมาตรา 93 ซึ่งจากข่าวที่ กกต.เผยแพร่ไว้แล้ว 23 ข่าวข้างต้น จึงขอส่งสำเนาข่าวอื่นๆ มาเพื่อประกอบการพิจารณาว่า พรรคเพื่อไทยยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้นายทักษิณ ชินวัตร เข้ามากระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคเพื่อไทยในลักษณะที่ทำให้พรรคเพื่อไทยหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 28 ประกอบมาตรา 29 หรือไม่ ข้อ 8.สำหรับพรรคการเมืองอื่น 6 พรรค ขอให้ กกต.ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เพื่อไทยบอกเป็นหน้าที่ของกกต.
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.สั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวน กรณีคำร้องยุบพรรคเพื่อไทยและ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ซึ่งถูกร้องว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบงำ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ว่า ถือเป็นการทำหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องรับเรื่องไว้พิจารณา
เมื่อมีผู้มายื่นคำร้อง และเพื่อยืนยันในการเคารพในสิทธิ การดำเนินการของผู้ร้อง พรรคเพื่อไทยไม่ได้วิตกกังวลอะไร การรับเรื่องและตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนั้น ก็เป็นการดำเนินการตามลำดับขั้นตอนที่ต้องไปพิจารณากันอีกมาก
นายอนุสรณ์กล่าวว่า ที่ระบุว่ามีมูลนั้น ต้องไปพิสูจน์ว่า มีมูลอยู่ในระดับมากน้อยเพียงใด เรื่องนี้ต้องพิจารณาองค์ประกอบและรายละเอียดต่างๆ อย่างละเอียด ต้องดูเหตุและผล และความเชื่อมโยงประกอบ คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาและดำเนินการอีกหลายเดือน ส่วนตัวมั่นใจว่าทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย สามารถชี้แจงได้ไม่มีอะไรต้องไปวิตกกังวลอะไร ทั้งงานนิติบัญญัติในสภาของ ส.ส.และงานบริหารของรัฐบาล สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่มีอะไรติดขัดหรือเป็นปัญหา รัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้กังวลใจอะไร ยังคงมีสมาธิและมุ่งมั่นในการทำงานในการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติและประชาชนต่อไป
โวยเกมการเมืองชัดๆ
นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีรายงานว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับคำร้องยุบพรรค พท.และ 6 พรรคร่วมรัฐบาลกรณีถูกร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบงำพรรค ว่า ในฐานะพรรคการเมือง หากมีเรื่องร้องเรียนเราก็มีหน้าที่แก้ข้อกล่าวหา ส่วนในเรื่องวิธีการในการต่อสู้ข้อกล่าวหานั้น ตนมองว่า ทางพรรคมีข้อมูลและหลักฐานเพียงพอที่จะต่อสู้ประเด็นนี้ แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งอยากให้หน่วยงานต่างๆ คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ เพราะทุกครั้งที่มีการร้องเรียนและหน่วยงานที่รับผิดชอบรับมาเป็นประเด็น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนตลอดจนนักท่องเที่ยวก็จะหายไปทันที เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่เพราะหนึ่งในบุคคลที่ร้อง เป็นคนเดียวกับที่ยื่นยุบพรรคก้าวไกลมาก่อน นายสรวงศ์กล่าวว่า ต่างคนต่างทำหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นใคร เคยร้องใครมา ตนมองว่าประชาชนรู้ถึงเจตนา
ถามต่อว่า แล้วมองอย่างไรที่นักร้องนิรนาม เอามาตั้งเรื่อง เพราะขนาดตัวเองยังไม่กล้าเปิดชื่อ นายสรวงศ์กล่าวว่า “พี่น้องประชาชนมองออกว่าที่ร้องมีเจตนาอะไร”
เมื่อถามว่า มองว่าเป็นเกมการเมืองหลังจากที่เราผลักพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า ชัดเจนอยู่แล้ว เพราะทุกอย่างประดังเข้ามาหลังจากที่เราประกาศไม่ร่วมงานกับพรรคการเมืองนี้ เมื่อถามว่า การทานข้าวกับพรรคร่วมวันจันทร์จะมีการพูดถึงเรื่องนี้ และจะคุยเรื่องร่างรายงานนิรโทษกรรมด้วยหรือไม่ เหมือนพรรคร่วมไม่เห็นด้วย นายสรวงศ์กล่าวว่า การทานข้าวกับพรรคร่วมรัฐบาล เป็นปกติที่เคยปฏิบัติมา เพียงแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการทานข้าวร่วมกัน หลังจากที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนเรื่องการพูดคุยนั้นตนมองว่าคงไม่มีอะไรที่เป็นข้อขัดแย้ง
พท.ชี้โหวตนิรโทษเอกสิทธิ์ของส.ส.
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคมนี้ จะสามารถลงมติรับหรือไม่รับรายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาพิจารณาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ได้หรือไม่ ว่า โหวตได้อยู่แล้ว แต่จะโหวตไปในทิศทางไหนนั้น เราไม่สามารถบังคับเขาได้ เพราะถือเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. ไม่ทราบว่าแต่ละคนจะโหวตแบบไหน ซึ่งหากโหวตเห็นด้วยกับข้อสังเกตของ กมธ.วิสามัญฯ ก็ส่งต่อให้รัฐบาล แต่รัฐบาลจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ถือเป็นสิทธิ์ของรัฐบาล แต่หากโหวตไม่ผ่านก็จบอยู่ที่สภา
นายวิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า โดยช่วงเช้าของวันที่ 24 ตุลาคม เราจะมีการประชุมพรรค ที่อาคารรัฐสภา เพื่อถามมติของส.ส. ก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง จะเห็นด้วยกับ กมธ.หรือไม่ เมื่อถามว่า ก่อนปิดสมัยประชุมมีร่างกฎหมายหรือรายงานค้างเยอะหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า วันพฤหัสบดีจะมีการหารือปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ จากนั้นจะเข้าสู่วาระต่างๆ ไม่มีกฎหมาย ส่วนวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ก็จะเป็นญัตติ กฎหมายให้ไปว่ากันสมัยประชุมหน้า
‘ป้อม’ตั้ง‘ชาญกฤช-ปิยะ’สื่อสารข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงนามคำสั่งพรรคพลังประชารัฐ 26/2567 เมื่อวันที่ 18 ต.ค.67 เรื่อง มอบหมายกรรมการบริหารพรรคให้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบพรรคพลังประชารัฐ ว่าด้วยการจัดโครงสร้างและแบ่งหน่วยงานภายใน สำนักงานเลขาธิการพรรคการเมือง พ.ศ.2567 ได้กำหนดให้มีฝ่ายสื่อสารทางการเมืองและเทคโนโลยี อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 และแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 17 (1) (ช) จึงมอบหมายกรรมการบริหารพรรค ให้ปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลสั่งการฝ่ายสื่อสารทางการเมืองและเทคโนโลยี ตามลำดับ ดังนี้ 1.นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ 2.พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ชี้เป้าแนวทางเดียวกับยุบก้าวไกล
รศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้พิจารณา 6 คำร้องที่มีผู้ร้องขอให้ กกต. พิจารณาสั่งยุบพรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม จากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการครอบงำ ชี้นำ และ 6 พรรคการเมืองยินยอมให้นายทักษิณ ครอบงำ ชี้นำ โดยเห็นว่า คำร้องมีมูล และให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน
รศ. ดร. ปริญญา กล่าวว่า ข้อเท็จจริงคือภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง เย็นวันนั้นนายทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เรียกพรรคร่วมรัฐบาลประชุมกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งเข้าใจว่าเพื่อให้รวดเร็ว และให้ได้ข้อสรุปว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะเป็นใคร เพื่อไม่ให้เกิดการพลิกขึ้น แต่ปัญหาคือ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 (พ.ร.ป.) ในมาตรา 28 ไม่เคยมีมาก่อน
เปิดโอกาสให้เพื่อไทยชี้แจง
รศ.ดร.ปริญญา ตั้งคำถามว่า การที่นายทักษิณเรียกประชุมนั้น จะถือเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำหรือไม่ กกต. รับคำร้องแล้ว ข้อต่อไปต้องดูว่า กกต. จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแบบเดียวกับตอนที่ยื่นพรรคก้าวไกล หรือจะใช้มาตรา 93 ที่ต้องมีการไต่สวนเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทยได้ชี้แจงก่อน โดยหลักที่ควรจะเปิดโอกาสให้ชี้แจงก่อน ในการต่อสู้ต้องสู้ว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ถูกครอบงำ ควบคุม หรือชี้นำ
“ครอบงำ”พิสูจน์ง่าย
“คำว่าควบคุม ครอบงำ อาจจะพิสูจน์ง่าย แต่ ชี้นำ คำมันกว้าง อยู่ที่ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นว่า ที่นายทักษิณเชิญมาประชุมเข้าข่ายเป็นการชี้นำหรือไม่ หากเข้าข่ายการเมืองก็ต้องดูต่อไปว่าถึงขนาดที่ทำให้พรรคการเมือง กับสมาชิกพรรค ขาดอิสระเลยหรือไม่ หากใช่ก็จะกลายเป็นปัญหา” รศ. ดร. ปริญญา กล่าว
รศ. ดร. ปริญญา กล่าวต่อว่า ต้องรอฟังกันต่อไปว่า กกต. รับคำร้องแล้ว จะมีคำสั่งให้พรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ มาชี้แจงเมื่อไหร่
รอให้’กกต.’ยื่นเรื่องก่อน
ส่วนที่มีการยื่นคำร้องขอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ อันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 หากมีการพิจารณาก่อน จะเป็นเป็นการเพิ่มน้ำหนักในคดีที่ กกต.หรือไม่ รศ. ดร. ปริญญา ระบุว่า การใช้กฎหมายคนละช่องทาง เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามรัฐมาตรา 49 ที่ระบุแค่ว่าให้หยุดการกระทำ ไม่ได้ขอให้ไปยุบพรรค ซึ่งคำร้องมุ่งไปที่นายทักษิณและพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ส่วนคำร้องที่ กกต.ไม่ได้ร้องนายทักษิณ เพราะไม่ใช่สมาชิกพรรค ต้องดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการต่ออย่างไร หากวินิจฉัยว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองจริง ทาง กกต.จะต้องทำคำร้องใหม่ในการยุบพรรค ตนไม่สามารถทราบได้ว่า คำร้องไหนจะพิจารณาตัดสินก่อนหรือหลัง
“หากเป็นเรื่องของการถูกร้องในเรื่องการล้มล้างระบบการปกครอง ต้องรอฟังว่าศาลจะกำหนดขั้นตอนในการไต่สวนอย่างไร และในส่วนของ กกต.ในชั้นคำร้องยุบพรรค ให้เราฟังก่อนว่า กกต.จะยื่นตรงหรือไต่สวนก่อน ส่วนตัวเชื่อว่าต้องไต่สวนก่อน เพื่อให้มีข้อเท็จจริงมากกว่านี้“ รศ. ดร. ปริญญา กล่าว.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี