"วุฒิสภา"ตั้งกระทู้ถามปม"ดิไอคอน" คาใจส่งคดีให้"ดีเอสไอ"ถูกต้องหรือไม่ หวั่นเสร็จไม่ทัน ทำผู้ต้องหารอดคุก จี้"กสทช."จัดการใช้คนมีชื่อเสียงมาสร้างความน่าเชื่อถือ ด้าน"รมว.ดิจิทัล"ยันมีมาตรการกฎหมายกำกับ-คุมเข้มโฆษณาเกินจริง-ป้องแชร์ลูกโซ่ แจงโอนเป็นคดีพิเศษ เพราะเข้าข่าย"ฟอกเงิน"
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดย นายชิบ จิตนิยม สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา ถาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงมาตรการการแก้ไขปัญหากรณีความเสียหายจากปัญหาธุรกิจเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป ที่มีผู้เสียหายเกือบ 10,000 คน และลุกลามทั่วโลก ทั้งนี้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รับมอบหมายให้มาชี้แจงแทน
นายชิบ อภิปรายว่า ความเสียหายจากปัญหาธุรกิจเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป ยังลุกลามบานปลายไม่หยุด ตัวเลขจากสำนักงานตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อค่ำวันที่ 27 ต.ค.สรุปว่าระหว่างวันที่ 10 - 27 ต.ค.มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้ว 9,472 คน ความเสียหายเกือบ 3,000 ล้านบาท สอบปากคำผู้เสียหายแล้ว 5,999 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,728 ล้านบาท ซึ่งพิษของดิไอคอน ระบาดไปเกือบ 20 ประเทศ ทั้งเอเชีย และยุโรป โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ และพำนักอยู่ที่นั่น นอกจากจะลงทุนด้วยตัวเองแล้วยังชักชวนญาติชาวต่างชาติให้มาร่วมเปิดบิลลงทุนกับดิไอคอน รวมความเสียหายตรงนี้อีกกว่า 20 ล้านบาท
นายชิบ กล่าวต่อว่า ดังนั้น การส่งคดีให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะหวั่นว่าหากดำเนินการไม่เสร็จทันตามกรอบเวลา อาจจะต้องมีการปล่อยตัวผู้ต้องหาจากการคุมขัง ทำให้ผู้ต้องหารอดคดี รวมถึงมาตรการควบคุมป้องกันการใช้สื่อหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่ให้มีการโฆษณาหลอกลวงประชาชนลงทุนธุรกิจขายตรง โดยการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงมาสร้างความน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่กำกับดูแลของ กสทช.รวมถึงแนวทางช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายให้ได้รับความยุติธรรม
ด้าน นายประเสริฐ ชี้แจงว่า รัฐบาลมีมาตรการป้องกันการใช้สื่อออนไลน์และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีการโฆษณาหลอกลวงประชาชนผ่านธุรกิจขายตรง โดยมีกฎหมายมาดำเนินการ ได้แก่ 1.พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขายตรง ซึ่งในกรณีของดิไอคอนเป็นการประกอบธุรกิจที่ไม่ตรงตามที่จดทะเบียนไว้ 2.พ.ร.บ.การกู้ยืมเงิน ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และหลอกลวงประชาชนโดยชักชวนให้มีการสมัครสมาชิก ในธุรกิจขายตรงและนำเงินมาลงทุน และ 3.พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ขณะที่การใช้สื่อออนไลน์ในการโฆษณามีหลายหน่วยงานเข้าไปเกี่ยวข้องและได้กำกับดูแลอยู่ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จัดให้มีช่องทางในการแจ้งเบาะแส กรณีหากเกิดเหตุการณ์ผิดสังเกตหรือสงสัย , สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้มีการกำหนดมาตรการและการบังคับใช้กฎหมาย , กระทรวงสาธารณสุข ดูแลในเรื่องมาตรฐานสินค้าว่าเป็นไปตามที่กำหนดหรือไม่ , กระทรวงการคลัง เข้าไปตรวจสอบในเรื่องของการกำหนดมาตรฐานและป้องกันไม่ให้เกิดการทำธุรกิจที่เรียกว่าแชร์ลูกโซ่ ส่วนกรณีของดารา หรืออินฟลูเอนเซอร์ ต่างๆ ทางสมาคมโฆษณา และผู้ประกอบการธุรกิจบันเทิง รวมทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการจัดการโฆษณาและตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด
นายประเสริฐ กล่าวว่า ส่วนภารกิจของ กสทช.เป็นการเฝ้าระวังเชิงรุก และเป็นการตรวจสอบการกำกับในการออกอากาศ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลและข่าวสารที่มีความถูกต้อง ทั้งรายการวิทยุหรือรายการโทรทัศน์ และแจ้งแนวทางในการปฏิบัติให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ เพื่อให้เกิดความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำเสนอเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงในเรื่องของการผิดกฎหมายและป้องกันการโฆษณาที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชน นอกจากนั้น กสทช.ยังได้ทำงานร่วมกับองค์การอาหารและยา (อย.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ได้ดำเนินคดีกับผู้ละเมิดต่างๆ ขณะที่กระทรวงดิจิทัลฯ ก็ได้มีการเฝ้าระวังเรื่อง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดทางด้านคอมพิวเตอร์ ในมาตรา 14(1) ได้กำหนดลักษณะความผิดที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ไว้ และเราได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด
"วันนี้ข้อมูลที่ทราบ มีผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง 693 ราย ผู้ประกอบการธุรกิจแบบตรง 935 ราย และรัฐบาลได้มีการดำเนินการในการควบคุมเรื่องการโฆษณาที่เกินความเป็นจริง เสนอให้มีการกำหนดมาตรการให้ชัดเจนยิ่งขึ้นและสร้างมาตรฐานในการโฆษณา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภค" นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการอายัดทรัพย์สิน การดำเนินการต่างๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอน วันนี้ทราบล่าสุด ว่าทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย สตช.จะโอนคดีหลักเข้าสู่ดีเอสไอ เป็นคดีพิเศษ เพราะเห็นว่าอาจจะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ส่วนเรื่องการเยียวยา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไป
จากนั้น นายชิบ ได้ถามย้ำถึงมาตรการที่รัฐบาลจะทำให้ประชาชนไว้วางใจกับการทำงานของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ เพราะประชาชนเป็นผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากจากกระบวนการต่างๆ โดย นายประเสริฐ ชี้แจงว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของ สคบ.ซึ่งได้มีอนุกรรมการของคณะขึ้น 2 ชุด ประกอบด้วย ชุดแรกนำสืบค้นหาข้อมูลทั้งหมดเพื่อประกอบการพิจารณาและอนุกรรมการ ชุดที่ 2 คือการดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ในอนาคต วันนี้อนุกรรมการทั้ง 2 คณะ จะเข้ามารายงานกับคณะทำงานชุดใหญ่ เพื่อดำเนินการอย่างเข้มงวดในเรื่องนี้ต่อไป หากพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะเห็นว่ากระทบต่อประชาชนในวงกว้าง หรืออาจจะมีเรื่องในลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี