เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นการออกมายืนยันว่า กรณีกรมราชทัณฑ์ใช้อำนาจส่งตัว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ต้องโทษจำคุก 1 ปี ออกจากเรือนจำไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ยาวนานถึง 6 เดือน ก่อนได้รับอนุญาตให้กลับไปพักที่บ้านได้ตามมาตรการพักโทษในอีก 6 เดือนที่เหลือ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ว่า เรื่องนี้ตนเก็บข้อมูลมาตลอด
อย่างเมื่อ 3 ปีก่อน นายทักษิณขณะที่ยังอยู่ในต่างประเทศ ได้กล่าวผ่านสื่อเป็นระยะๆ ว่ามีแผนจะเดินทางกลับไทย และบอกว่าจะกลับมาแบบไม่ติดคุก เวลานั้นตนก็คิดในใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ซึ่งตนกับนายทักษิณเริ่มเล่นการเมืองพร้อมกันในปี 2538 ดังนั้นในช่วงที่อยู่ในสภา นายทักษิณทำอะไรก็จะรู้กันดี รวบรวมข้อมูลอภิปราย เช่น เครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX บอกได้เลยว่านายทักษิณเป็นคนไม่รู้จักพอและมีศัตรูไม่รู้จักหยุด
แต่เรื่องที่บอกจะกลับมาโดยไม่ติดคุก ตนก็คิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะไม่ใช่เพียงคดีอาญาธรรมดา แต่เป็นคดีทุจริต อันเป็น 1 ใน 3 เรื่องที่ต่อสู้กันมาตลอดเพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวาย เรื่องทุจริตหากแก้ไม่ได้บ้านเมืองจะวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น นักการเมืองได้อำนาจมาก็ค้าอำนาจ ซื้อเสียงจาก 20 ต่อมาก็ซื้อกันเป็นพัน ก็มาจากการทุจริต ลงทุนเพื่อให้ได้อำนาจรัฐแล้วก็ใช้อำนาจไปหาผลประโยชน์กับกลุ่มทุนทั้งหลาย นี่คือปัญหาที่พยายามแก้กันมาเป็นสิบปี แต่วันนี้นอกจากจะแก้ไม่จบแล้วยังเละยิ่งกว่าเก่า
ซึ่งการออกมาเปิดประเด็นดังกล่าว ก็เพราะเกิดจากการท้าทายส่งเสริม เหมือนว่าคนทุจริตทำผิดก็ไม่เห็นเป็นอะไร หากปล่อยไว้แบบนี้ประเทศอยู่ไม่ได้ จะกลายเป็นวัฒนธรรมใช้กับนักการเมือง หากมีเงินก็ไม่ต้องติดคุกหรือไม่ก็คดีหลุดหมด เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวของนายทักษิณอีกต่อไป นอกจากนั้น เมื่อนายทักษิณบอกว่าเข้ามาแล้วต้องการให้บ้านเมืองสงบก็ต้องยอมรับกติกา ซึ่งก็ไม่ได้เป็นกติกาที่ประเทศไทยตั้งขึ้นเองแต่เป็นหลักสากล
ดังนั้นหากกรณีของนายทักษิณไม่ได้ข้อยุติ กลายเป็นตัวอย่างว่าทำผิดแล้วไปขอพระราชทานอภัยโทษแล้วก็ไม่ต้องคิดคุก ก็เป็นความผิดต่อเนื่อง ตนมองว่าเรื่องนี้ยิ่งกว่าคำว่ากัดเซาะเพราะเป็นการทุบ เนื่องจากทำให้คนเข้าใจผิดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไปส่งเสริมให้นายทักษิณไม่ต้องติดคุก ส่วนที่ไปยื่นเรื่องยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะตนรู้ข้อกฎหมาย ซึ่งมีอยู่มาตราหนึ่ง ว่าด้วยเมื่อศาลตัดสินแล้วจะมีการบังคับคดี ดังนั้นเมื่อเข้าเรือนจำไปแล้ว การนำตัวออกมาปกติต้องขอศาล
“ทีแรกเราก็ไม่ได้สนใจ นึกว่า 2-3 เดือน นึกว่าคนป่วยจริงก็เอาไปรักษา แต่เราเห็นท่าทางตอนลงจากเครื่องบินมาไม่ใช่คนป่วย ยังแข็งแรงยิ่งกว่าเราเลย มาถึงก็แสดงท่าทางอิทธิฤทธิ์ เดินออกมาจับไม้จับมือ กุญแจมือก็ไม่ต้องใส่ ตำรวจก็ไม่ต้องคุม ผมว่ามันผิดปกติตั้งแต่วันนั้นแล้ว ตรงนั้นเป็นเขตหวงห้ามก็ดันปล่อยให้พวกบริวารเข้าไปอยู่เต็มไปหมด สนามบินก็ผิดอีก ตรงนั้นหิ้วทองเข้าเอาเฮโรอีนออกได้หมด ผมเห็นอะไรผิดปกติตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ก็จับทิศทางมาเรื่อย เขาจะทำอะไรกัน สุดท้ายไม่ได้จำคุกแล้วเอาตัวไปไว้โรงพยาบาล” นายชาญชัย กล่าว
นายชาญชัย กล่าวต่อไปว่า ในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2566 ตนเริ่มร่างหนังสือตรวจสอบ ดูข้อกฎหมายแล้วเห็นว่าผิดแน่ ซึ่งแรกๆ กรมราชทัณฑ์บอกจะทำตามขั้นตอนทางกฎหมาย พักอยู่เรือนไหน กักโรคกี่วัน แต่ยังไม่พ้น 10 ชั่วโมงก็ไปอยู่ รพ.ตำรวจ ตนก็เริ่มสังเกต จนวันที่ 19 ธ.ค. 2566 ตนเริ่มยื่นศาลเป็นครั้งแรก ซึ่งตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2562 ในหมวด 9 การบังคับคดี ข้อ 62 ว่าด้วยหากบุคคลภายนอกพบว่าไม่มีการดำเนินการตามการบังคับคดี ศาลต้องตั้งองค์คณะ 3 คนขึ้นมาพิจารณา
เท่ากับว่า ข้อกฎหมายให้บุคคลภายนอกสามารถร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ก็บรรยายไปว่าเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์กระทำผิดกฎหมายอย่างไรบ้าง ในเวลานั้นศาลได้ตอบกลับมาว่า ศาลออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว การบังคับโทษและอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ปัญหาว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฯ จึงไม่ต้องไต่สวน ให้ยกคำร้อง จึงต้องกลับไปทบทวนใหม่
ทำให้ในเดือน ม.ค. 2567 ตนทำหนังสือถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แจ้งว่าทำผิดกฎหมาย หากไม่ทำให้ถูกจะดำเนินคดี มีการรับหนังสือวันที่ 23 ม.ค. 2567 ซึ่งกรมราชทัณฑ์ก็อ้างกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ที่ออกตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ในขณะนั้น) เป็นผู้ออกกฎกระทรวง หากสังเกตในข้อ 2 ของกฎกระทรวง จะระบุไว้เพียง 2 กรณี คือมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ที่ให้นำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวในสถานพยาบาล
ซึ่งตนเข้าใจว่าในขณะที่ออกกฎกระทรวงกำลังเป็นช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และมีข่าวผู้ต้องขังติดเชื้อกันมาก จึงต้องมีระเบียบมารองรับการนำตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาตัวภายนอก แต่ถึงกฎกระทรวง จะให้อำนาจนำตัวผู้ต้องขังที่เจ็บป่วยไปรักษาตัวในโรงพยาบาลภายนอกได้ ใน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 6 ก็ระบุว่าต้องไม่ขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังนั้นการนำตัวผู้ต้องขังออกไปนอกเรือนจำต้องขออนุญาตศาล
ซึ่งการไปออกกฎกระทรวงว่ากรมราชทัณฑ์มีอำนาจนำตัวผู้ต้องขังออกนอกเรือนจำได้เอง ก็เป็นการไปทับอำนาจศาลและขัดกับ ป.วิฯ อาญา เพราะใน ป.วิฯ อาญา จะกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องไว้ชัดเจน ตั้งแต่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหา นำไปฝากขังที่ศาล การประกันตัวและคัดค้าน เช่น ไม่ใช่อยู่ๆ ตำรวจหรืออัยการจะสั่งขังผู้ต้องหาได้เอง อย่างตำรวจมีอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้เพียง 48 ชั่วโมง หากจะควบคุมตัวนานกว่านั้นก็ต้องไปขออำนาจศาล ส่วนที่มีการแถลงข่าวเรื่องนายทักษิณมีอาการเครียดและช็อก ซึ่งเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิต ตนก็มองว่าเข้าข่ายทุเลาโทษ
ตามขั้นตอนก็ต้องไปขออนุญาตศาล อาจขอภายหลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้วก็ได้ โดยหลังจากนั้นศาลก็จะไต่สวน เรียกตรวจสอบหลักฐาน หากพบว่าเป็นความจริงศาลก็จะออกหมายทุเลาโทษ ที่สำคัญคือ แม้จะเป็นการป่วยจริงและได้รับหมายทุเลาโทษให้ไปรักษาตัว ช่วงเวลาดังกล่าวก็ไม่ถูกนับเป็นเป็นเวลารับโทษด้วย แต่กรมราชทัณฑ์ไปเขียนไว้ในกฎกระทรวงว่าให้นับช่วงที่ไปรักษาตัวนอกเรือนจำรวมไปในระยะเวลาต้องโทษด้วย เรื่องนี้หากพูดแบบภาษากฎหมายคือผิดกันมาตั้งแต่ต้น
“เรื่องนี้เคยมีกรณีตัวอย่างที่ศาลจังหวัดจันทบุรีสั่งให้กรมราชทัณฑ์ มีเรื่องปี 2560 กฎหมายออกแล้ว หนังสือลงวันที่ 16 ก.พ. 2560 หารือเรื่องวิฯ อาญา มาตรา 246 มีหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่ง ญาติเขาร้อง มีครรภ์ 2 เดือน พอศาลได้รับเรื่อง สั่งให้เอาผู้หญิงคนนี้ไปขังนอกเรือนจำโดยการดูแลของราชทัณฑ์ 246 มี 4 โรคที่ห้ามขังในเรือนจำ 1.วิกลจริต 2.มีความเสี่ยงเสียชีวิต 3.หญิงมีครรภ์ และ 4.หญิงเพิ่งคลอดลูกยังไม่ถึง 3 ปีแล้วต้องเลี้ยงลูก เป็นเรื่องที่ศาลสั่งให้ไปทุเลาโทษ อันนี้กรมราชทัณฑ์รู้ ศาลก็สั่งมาแล้วตามมาตรา 246” นายชาญชัย ระบุ
นายชาญชัย ยังกล่าวอีกว่า ในเวลานั้นกรมราชทัณฑ์ได้แจ้งว่ายังไม่มีการออกกฎกระทรวง ซึ่งต่อมาก็มีการออกในปี 2563 ซึ่งในกรณีหญิงท้องดังกล่าว มีการพูดถึงปัญหาการบังคับตามคำสั่งศาลเกี่ยวกับการทุเลาโทษตาม ป.วิฯ อาญา ม.246 เพราะยังไม่มีการประกาศสถานที่คุมขังนอกเรือนจำ และศาลจังหวัดจันทบุรีสั่งให้กรมราชทัณฑ์ทำรายงานแจ้งศาลด้วยเพราะเกรงจะเข้าข่ายขัดคำสั่งศาล ดังนั้นไม่ใช่กรมราชทัณฑ์ไม่รู้เรื่องนี้ แต่พยายามฝืนเพื่อช่วยนายทักษิณ
ทั้งนี้ หากเรื่องทั้งหมดพบว่านายทักษิณป่วยจริงแต่ไม่ได้ไปขออนุญาตศาลก็ถือว่าผิดกฎหมายเพราะขัดคำสั่งศาล แต่หากไม่ป่วยจริงก็จะยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะแจ้งเท็จเพื่อขอบระบรมราชโองการอภัยโทษ ตนจึงไปยื่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นครั้งที่ 2 คราวนี้ขอความชัดเจนว่า ป.วิฯ อาญา ม.246 เป็นอำนาจใคร ซึ่งศาลก็ไม่ได้ตอบชัดๆ ว่าเป็นอำนาจศาล แต่ระบุว่าในเมื่อญาติผู้ต้องขังหรือกรมราชทัณฑ์ไม่ได้มาขอทุเลาโทษ ศาลจะยกมาตราดังกล่าวมาพิจารณาไม่ได้ ตนก็เห็นแล้วว่าเป็นอำนาจศาล
จึงนำมาสู่การเตรียมยื่นเรื่องเป็นครั้งที่ 3 ว่ากรมราชทัณฑ์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมออกคำสั่งที่เป็นการขัดคำสั่งศาลและขัดต่อ ป.วิฯ อาญา รวมถึงมีเจ้าหน้าที่คนใดบ้างที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งระหว่างที่รอการรวบรวมข้อมูล ก็เห็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ออกมาให้ข้อมูลว่าได้พบไปนายทักษิณที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ มีรายงานของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) รวมถึงรายงานของแพทยสภา
“ยื่นศาลจะเป็นดุลพินิจของท่าน อยู่ที่กระบวนการ เราจะทำอีกครั้งให้สมบูรณ์เพื่อให้กฎหมายเป็นกฎหมาย แล้วให้ท่านใช้กฎหมายพิจารณาเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมมันไปถูกต้อง” นายชาญชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ชาญชัย'แจงข้อเท็จจริงยื่น 2 คำร้องต่อศาล เปิดไต่สวนปม'ทักษิณ'ออกคุกรักษาตัวชั้น 14
ชมคลิปเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=ISu69djVMbo
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี