เทียบเคสเขาพระวิหาร!‘อดีตบิ๊ก ศรภ.’ออกโรงเตือนเรื่อง‘เกาะกูด’อย่าเผลอ
5 พฤศจิกายน 2567 พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “เรื่องเกาะกูด อย่าเผลอนะครับ” โดยมีเนื้อหาดังนี้...
เรื่องเกาะกูด อย่าเผลอนะครับ
เรื่อง เกาะกูด ต้องดูให้รอบคอบ ครับอย่าออกมาพูดว่า จะเสียการท่องเที่ยว หรือเป็นพวกคลั่งชาติ จึงขอยกเอาเรื่องเขาพระวิหารมาให้ดูก่อน แล้วค่อยเอาเรื่องเกาะกูดตามมา เพื่อให้เปรียบเทียบ ลองทบทวนกันครับ
1.ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 โดยใช้หลักกฎหมายการยอมรับโดยปริยาย (tacit acceptance) เนื่องจากรัฐบาลสยามไม่โต้แย้งแผนที่ซึ่งนักภูมิศาสตร์ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นตามคำขอของรัฐบาลสยามเอง รวมถึงกรณีที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จไปเขาพระวิหารโดยมี ผู้สำเร็จราชการชาวฝรั่งเศสมาต้อนรับ ก็ถูกนำมาอ้างประกอบว่าพระองค์ท่านยอมรับว่าเป็นพื้นที่ของฝรั่งเศสด้วย หลังจากนั้นกัมพูชาก็พยายามขยายพื้นที่โดยส่งชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างบ้านและวัด ในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารอีกด้วย โดยพวกเราก็ใช้การเจรจา แต่เขาก็ดื้อตาใส เข้ามายึดครองเลย ลองคิดดูเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ยังถูกกัมพูชานำมาอ้างไว้เป็นหลักฐานหมดทุกเรื่อง
2.ปัจจุบัน รัฐบาลไทยเริ่มพูดถึงเรื่องการเจรจาทางเศรษฐกิจ เพื่อแบ่งผลประโยชน์คนละ 50% ในพื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างไทย กัมพูชา ซึ่งทุกคนก็ทราบกันดีว่า เริ่มมาจากคุณทักษิณแน่นอน จึงถ่ายทอดมาเป็นนโยบายเร่งด่วนของพรรคเพื่อไทย แซงหน้าทุกนโยบายและยังได้รับการยืนยันจากรัฐบาลชุดนี้อีกเป็นระยะๆ
3.เมื่อดูเรื่อง เขาพระวิหารแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงกลัวเรื่องการเสีย “เกาะกูด” กันมากมาย ขนาดนี้ มาดูลำดับการเคลื่อนไหวของกรณี เกาะกูดนี้ แบบสั้นที่สุด แล้วก็จะเข้าใจกันได้พอสมควร ครับ
(1) เมื่อ 1 ก.ค.15 กัมพูชาได้ประกาศ พระราชกฤษฎีกา กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดแล้วอ้อมตัวเกาะไปด้านล่าง แล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U กลับไปยังทิศตะวันตกของเกาะ จนล้ำเข้าไปในอ่าวไทย ที่กล้าทำแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะตอนนั้น กัมพูชากำลังอยู่ในสงครามแย่งชิงอำนาจของเขมร 3 ฝ่าย จึงต้องหาเรื่องมาเอาใจคนกัมพูชา (ปัจจุบันเวลาใกล้การเลือกตั้งในกัมพูชาเมื่อไร รัฐบาลกัมพูชา ก็จะหาเรื่องปลุกความรักชาติ ด้วยการด่าไทยทุกครั้งไป)
(2) อีก 2 เดือนต่อมา กัมพูชาก็ออก พระราชกฤษฎีกา กำหนดแผนที่อีกฉบับหนึ่ง ลาก “ เส้นอาณาเขตทางทะเล “ ของกัมพูชา จากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด เพิ่มมาอีก กฎหมายเหล่านี้ เป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของประเทศไทย” อย่างชัดเจน เพราะเป็นการออกกฎหมายฝ่ายเดียวโดยไม่ใช้หลักกฎหมายสากลฉบับใดมาอ้างอิงเลย
(3) จากกฎหมายเถื่อนทางทะเลทั้ง 2 ฉบับนี้เอง กัมพูชาจึงไม่ยอมให้การรับรอง อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ( UNCLOS) ทั้งๆที่ทุกชาติในอาเซียนเค้ารับกันหมดแล้ว เพราะกลัวว่าจะเสียพื้นที่ทับซ้อนใกล้เกาะกูดไป
(4) การเจรจาระหว่างไทย กับ กัมพูชา ตาม MOU 44 ที่เกิดขึ้นในยุคคุณทักษิณนั้น ตามลำดับการเจรจาแล้ว ควรจะเน้นเรื่องเขตพื้นที่ทางทะเลของแต่ละประเทศก่อน เพื่อให้รู้ว่าควรจะแบ่งผลประโยชน์กันแบบใด เพราะไทยใช้กฎหมายสากล พื้นที่ทับซ้อนนั้นจึงน่าจะอยู่ในเขตไทยหรือถ้าจะพูดให้ถูก คือ พื้นที่ดังกล่าว ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน แต่เป็นพื้นที่อธิปไตยของไทยเต็มๆ แต่กัมพูชาใช้กฎหมายที่เขียนขึ้นตามใจตัวเอง อ้างว่ามีพื้นที่ทับซ้อนด้วย(เยอะเชียว) ซึ่งรัฐบาลไทยก็ดันไปออกตัวรับเลย แล้วบอกว่า มาแบ่ง”ผลประโยชน์”กันคนละ 50% นะ
เอาว่าถ้าหยุดตรงนี้ก็พอทน แต่ถ้ากัมพูชาไปฟ้องศาลโลก จะเอาเกาะกูด
..ซึ่งอย่านึกว่าเป็นไปไม่ได้นะ มวยไทย สงกรานต์ ฯลฯ โดนมาหมดแล้ว.. โดยอ้างว่า ได้มีข้อตกลงทำธุรกิจกับไทยแล้ว ถึงมาแบ่งกันคนละ 50% ซึ่งไทยก็ไม่เห็นทักท้วงเส้นเขตแดนอะไรเลย ไทยจะทำอย่างไร ขึ้นศาลโลกก็อาจแพ้อีก เพราะอะไรก็รู้กันดี นอกจากนั้น กัมพูชายังสามารถอ้างข้อตกลงเมื่อตอน คุณทักษิณเป็นนายกฯไปเยือนกัมพูชา(18-19 มิ.ย. 44) แล้วไปทำ Joint Communique (ข้อ 15) หรือแถลงการณ์ร่วมของผู้นำ ระหว่างไทยกับกัมพูชา
สรุปได้ว่าทั้งสองฝ่ายแสดงความพึ่งพอใจในความพยายามต่างๆซึ่งได้ดำเนินการร่วมกันมาและให้การรับรองบันทึกความเข้าใจระหว่าง กัมพูชา กับ ไทย ว่าด้วย พื้นที่ ที่ทั้ง 2 ประเทศอ้างสิทธิ์ไหล่ทวีปทับซ้อนกัน..เจ๊งลูกเดียว ซ้ำรอยเขาพระวิหารอีกครับ
4.ลืมบอกไปครับ ว่า โดยหลักการแล้ว ทั้ง MOU และ Joint Communique ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เดี๋ยวจะหาว่าเขียนเอามัน ดังนั้นยกเลิกได้ครับ ไม่ถูกฟ้องหรอกครับ แต่อาจถูกนำไปอ้างเป็นเหตุผลแวดล้อมในศาลโลกได้ดีกว่ากรณี กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสียอีก ครับ
ก็ขอให้ คนคิดเรื่องนี้ ถ้าคิดดี ก็ขอให้เจริญก้าวหน้า แต่ถ้าคิดไม่ดีก็ขอให้ เรื่องไม่ดีกลับไปที่ที่ตัวเองชอบนะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี