ไม่รู้ใครผ่าตัด/จ่ายค่าหมอ1ล.
กมธ.บี้‘เทวดาแม้ว’
เชื่อสวมบทตบตาป่วยทิพย์
‘โรม’แฉ17นาทีเหาะขึ้นชั้น14
แพทย์ตร.-ราชทัณฑ์โยนกันวุ่น
กมธ.มั่นคงฯ จัดถกเรื่องเทวดาชั้น 14 “โรม”ปูด“ทักษิณ”เช็คอาการแค่ 4 นาที อีก 17 นาทีเดินทางไป“รพ.ตำรวจ” รวมใช้แค่ 21 นาที หน่วยงานโยนเผือกร้อนกันไปมา ไม่รู้ว่าใครผ่าตัด ใครจ่ายค่ารักษาพยาบาล 1 ล้าน ข้องใจเทวดามีเอี่ยวสวมบทบาทตบตาป่วยทิพย์
ที่รัฐสภา วันที่ 7 พฤศจิกายน มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธานกมธ.ฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม หารือกรณีการพักรักษาอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น14 โรงพยาบาลตำรวจ มีความถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรมหรือไม่
โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล อาทิ นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ
ขณะที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยและพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผบ.ตร. ไม่ได้มาชี้แจงต่อกมธ.ตามที่มีหนังสือเชิญไป โดยกมธ.ส่วนใหญ่ตั้งคำถามพุ่งเป้าไปที่รายละเอียดการพักรักษาตัวของนายทักษิณ และหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการรักษาตัวของนายทักษิณ อาทิ ภาพถ่าย ภาพกล้องวงจรปิด รวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจเป็นไปตามมาตรฐานและระเบียบของกรมราชทัณฑ์หรือไม่
ซักแหลกขึ้นทางด่วนรพ.ตร.
ด้านนพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซักถามว่า อาการป่วยนายทักษิณที่ระบุเป็นภาวะฉุกเฉินกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ต้องส่งตัวด่วนจากโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไปโรงพยาบาลตำรวจ ใช้เวลาส่งตัว 21นาทีการเดินทางจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ระยะทาง 17กิโลเมตร เดินทางโดยทางด่วน 17นาที การปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์หรือพยาบาลที่เรือนจำ จึงมีเวลาปฏิบัติการ 3นาทีเท่านั้น ถือว่ารวดเร็ว อยากรู้ผู้ป่วยรายอื่นที่มีภาวะฉุกเฉินจะได้รับการปฏิบัติเร่งด่วน มีมาตรฐานแบบเดียวกันหรือไม่ และการอนุญาตให้นายทักษิณรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลานาน ใครคือผู้ให้ความเห็น
“ช่อ”ซักค่ารักษาพยาบาล
ขณะที่น.ส.พรรณิการ์ วาณิช ที่ปรึกษากมธ. ซักถามว่า การพักรักษาตัวที่ชั้น14 ของนายทักษิณมีค่าห้องและค่ารักษาพยาบาลเท่าใด ใครออกค่าใช้จ่าย ให้แสดงหลักฐาน อย่างไรก็ตามระหว่างที่กมธ.รุมซักถามนั้น นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษากมธ. เบรกการซักถามเป็นระยะๆ โดยกล่าวว่า การซักถามเรื่องหลักเกณฑ์ต่างๆไม่มีอะไรคืบหน้า คนมาชี้แจงก็ต้องตอบไปตามหลักการ คำถามวนไปมา ไม่น่าฟัง ถามถึงแต่ภาพถ่าย ภาพวงจรปิด ควรถามว่า การพักชั้น14 เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
อดีตหมอใหญ่อ้างไร้ข้อมูล
ขณะที่พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ชี้แจงว่า ช่วงที่ทำหน้าที่เป็นรองนายแพทย์ใหญ่ ไม่ทราบข้อมูลผู้ป่วย เพราะกำลังทำเรื่องเออรี่รีไทร์ และพักร้อนในช่วงนั้น เมื่อมีหนังสือส่งตัวมาให้รักษา เราก็รักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะผู้ป่วยและความเห็นของแพทย์ที่ดูแลด้วย ตนเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดผ่านกล้อง ไม่ได้เป็นผู้ผ่าตัดนายทักษิณ ส่วนนายทักษิณจะผ่าตัดหรือไม่ ตนไม่ทราบ เพราะตอนนั้นลาพักร้อน 3สัปดาห์ ส่วนการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับภาวะของโรค ส่วนตัวไม่เคยไปรักษาชั้น14 ไม่สามารถตอบได้ขณะที่เรื่องการบันทึกภาพระหว่างรักษาตัว ก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่จากประสบการณ์ที่เคยรักษาผู้ต้องขังนั้น ไม่เคยเห็นต้องบันทึกภาพ
ไม่ผ่านรพ.ราชฑัณฑ์
ส่วนนพ.วัฒน์ชัย นายวัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ชี้แจงว่า กรณีการส่งตัวนายทักษิณจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ได้ผ่านโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะพยาบาลในสถานพยาบาลพิจารณาแล้วว่ามีความเสี่ยง จึงส่งตัว เนื่องจากตอนดึกนายทักษิณมีอาการแน่นหน้าอก ความดันสูงขึ้น ระดับออกซิเจนต่ำ กรณีมีผู้ป่วยต้องออกไปรักษาตัวด้านนอก ต้องส่งโดยเร็ว ป้องกันเหตุพิการ เสียชีวิต ศักยภาพของโรงพยาบาลในการรักษาด้านโรคหัวใจนั้น เรามีเครื่องมือการแพทย์ไม่เพียงพอ จำเป็นต้องส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลภายนอก การสวนหัวใจไม่สามารถทำได้ ต้องส่งต่อ
ไม่รู้ใครผ่าจัด/จ่ายค่ารักษา1ล้าน
ทั้งนี้การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวด้านนอก ถ้าเป็นในเวลา เป็นหน้าที่ของแพทย์ในเรือนจำ แต่ถ้านอกเวลาจะเป็นพยาบาลเป็นผู้ประเมิน ไม่มีแพทย์คนใดเข้าไปในสถานพยาบาลแต่ละแดนนอกเวลาแต่พยาบาลก็มีทักษะประเมินผู้ป่วยฉุกเฉินได้ ถ้าเป็นกรณีฉุกเฉินคนเซ็นอนุญาตคือ ผู้บัญชาการเรือนจำ โรงพยาบาลตำรวจเป็นโรงพยาบาลที่ราชทัณฑ์ส่งผู้ป่วยไปมากที่สุด ส่วนการประเมินว่า ต้องได้รับการรักษาตัวต่อนั้น เป็นหน้าที่แพทย์ผู้รักษาของโรงพยาบาลตำรวจ โดยมีข้อมูลทางการแพทย์ว่า เหตุใดควรต้องรักษาตัวต่อ ส่วนเรื่องจำนวนวันที่ต้องรักษาตัว ตนไม่ทราบ
นพ.วัฒน์ชัย กล่าวว่า ส่วนเรื่องค่าห้องและค่ารักษานายทักษิณนั้น อยู่ที่ 8,500บาทต่อวัน รวมค่ารักษาอยู่ที่ประมาณ1ล้านบาท ไม่มีข้อมูลว่า ใครเป็นผู้จ่าย แต่ผู้ต้องขังทุกคนที่อยู่ในโรงพยาบาล จะได้รับการรักษาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในทุกกรณี ยกเว้นกรณีที่เกินสิทธิ ผู้ต้องขังหรือญาติผู้ต้องขังต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ยืนยันว่ากรณีผู้ต้องขังเจ็บป่วยฉุกเฉินจะได้รับการรักษาตัวทันท่วงทีเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
“โรม”แจงรายละเอียดยิบ
ต่อมา นายรังสิมันต์ โรม ประธาน กมธ.ชุดดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ว่า หลังประชุม ว่า ได้พิจารณา 3 กรอบแนวทางหลัก 1.การไปพักรักษาตัวของนายทักษิณ ที่ชั้น14โรงพยาบาลตำรวจ ชอบหรือไม่ 2.การพักรักษาตัวอยู่ยาวแบบนี้ สุดท้ายเป็นการตัดสินใจของใคร ถูกต้องทั้งทางการแพทย์ และทางกฎหมายหรือไม่
3.ตั้งแต่นายทักษิณออกมาจนถึงปัจจุบัน มีปัญหาในเชิงความชอบด้วยกฎหมายอะไรบ้าง
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า 2 แนวทางแรกมีปัญหาอย่างมากในการพิจารณา เช่น การที่นายทักษิณป่วย มีอาการแน่นหน้าอก และไปที่สถานพยาบาล ปรากฏข้อมูลที่เราได้รับทราบว่าสุดท้ายคนที่มาดูแลสุขภาพนายทักษิณเป็นแค่พยาบาลเท่านั้น นายทักษิณไมได้ถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์เลย แพทย์ราชทัณฑ์ก็ไม่ได้มีโอกาสมาดูด้วยตา หรือใช้เครื่องมือดูแลสุขภาพนายทักษิณ มีเพียงพยาบาลโทรไปหาแพทย์ราชทัณฑ์เพื่อปรึกษา แล้วส่งตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ จึงเป็นที่เคลือบแคลงว่าทำไมกระบวนการถึงเป็นแบบนั้น
17นาทีไปพักช้น14
“หลังจากเราไล่ไทม์ไลน์ทั้งหมด ระยะเวลาตั้งแต่นายทักษิณ ไปถึงสถานพยาบาล และพิจารณาหารือกับพยาบาลที่ได้ปรึกษาแพทย์ราชทัณฑ์ แล้วส่งต่อไปยังโรงพยาบาลตำรวจ จากข้อมูลที่ได้รับใช้เวลาเพียง 21 นาทีเท่านั้น หากตรวจดูจากกูเกิ้ลแมพดูระยะเวลาการส่งตัว ใช้เพียง 17 นาทีเท่านั้น หมายความว่าระยะเวลาในการวินิจฉัย มีแค่เพียง 4 นาที ถือเป็นการทำเวลาได้รวดเร็วมาก” นายรังสิมันต์ กล่าว
ประธานกมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ กล่าวต่อว่า ประเด็นต่อมา เราได้รับคำอธิบายว่าการส่งตัวนายทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจ ดำเนินการโดยผู้บัญชาการเรือนจำ เรื่องนี้ค่อนข้างแปลก ทำไมบทบาทของหมอโดยเฉพาะโรงพยาบาลราชทัณฑ์ถึงดูน้อยมาก ในการให้ความเห็นเรื่องนี้ สุดท้ายเป็นการโยนกันไปมา แน่นอนว่าวันนี้ตัวแทนของโรงพยาบาลตำรวจไม่ได้มาเข้าชี้แจงต่อกมธ.ฯเลย แต่เราติดตามข่าวสาร รองนายแพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลตำรวจ เคยออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่าการที่นายทักษิณต้องอยู่รักษาตัว ไม่ใช่การตัดสินใจของโรงพยาบาลตำรวจ แต่เป็นการตัดสินใจของกรมราชทัณฑ์ แต่วันนี้ได้รับคำตอบจากราชทัณฑ์ว่า ไม่ได้เป็นการตัดสินใจของราชทัณฑ์ แต่เป็นการตัดสินใจของแพทย์เจ้าของไข้ กมธ.ฯก็พยายามตรวจสอบหารายชื่อแพทย์เจ้าของไข้นายทักษิณ แต่ไม่ได้รับคำตอบเลย จนไม่แน่ใจว่าการที่นายทักษิณรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นการตัดสินใจของใคร
ไม่มีใครยืนยันข้อมูลได้
“กมธ.พยายามแสวงหาคำตอบ ก็ไม่มีใครยืนยันกับเราได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ถ้า2กรณีนี้ไม่ได้ข้อยุติ จะกลายเป็นว่านายทักษิณป่วยจริงหรือไม่ ถ้าไม่ป่วยจริง ปรากฏว่านายทักษิณอาจมีส่วนในการตัดสินใจด้วย ความรับผิดชอบจะไม่ได้อยู่ที่แค่หน่วยราชการ แต่นายทักษิณอาจจะเกี่ยวข้องกับการแสดงบทบาทบางอย่าง เพื่อทำให้เกิดการหลงเชื่อว่าตัวเองเจ็บป่วย ทำให้ผลของการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รัฐต้องส่งไปโรงพยาบาลตำรวจ ทำให้สุดท้ายการที่นายทักษิณไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่แน่ใจว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” นายรังสิมันต์ กล่าว
ค่ารักษา1ล้านก็ไม่รู้ใครจ่าย
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เราได้รับข้อมูลจากเลขานุการกมธ.ฯ ว่าการที่นายทักษิณไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจห้องพิเศษ มีค่าใช้จ่ายจำนวน 8,500 บาท เบ็ดเสร็จรวมแล้วอาจมีค่าใช้จ่ายถึง1ล้านบาท จึงมีคำถามต่อมาว่าตกลงใครเป็นคนจ่าย ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ เวชระเบียน ข้อมูลการรักษา ถามใครก็ไม่มีใครตอบได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ข้อเท็จจริงหลายอย่างไม่ปรากฏชัดเจนต่อกมธ.ฯ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือเรื่องนี้น่าสงสัย มีพิรุธ ตั้งแต่ตนทำงานเป็นประธานกมธ.ฯมา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับความร่วมมือน้อยที่สุดจากหน่วยงานราชการ และหน่วยงานราชการไม่อยากบอกอะไรกับเราเลย ทำให้ข้อสงสัยของสังคมเรื่องชั้น14ยังคงอยู่ต่อไป
เมื่อถามว่าระยะเวลาผ่านมานานแล้วทำไมถึงหยิบยกเรื่องนี้กลับมาพิจารณาอีกรอบ ประธานกมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กล่าวว่า ระยะเวลาที่ผ่านมานาน ไม่ได้ทำให้กระบวนการที่เกิดขึ้นในวันนั้นกระจ่างเลย ถามว่าทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ ตนคิดว่าไม่ใช่คนเดียวที่ต้องตอบ แต่การที่มีคนไปร้อง การที่ประชาชนตั้งคำถาม เป็นการยืนยันว่ากรณีนี้เป็นกรณีที่พิศวง ยังไม่มีที่สิ้นสุดที่เราจะต้องแสวงหาข้อมูลต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี