‘ทักษิณ’โผล่เคลียร์MOU44
ฉะพวกจ้องโจมตี
ทั้งที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น
‘ภูมิธรรม’เยือน‘เกาะกูด’
ย้ำเป็นของไทยเขมรไม่ยุ่ง
ทสท.จี้รบ.ทำข้อตกลงใหม
“ทักษิณ” ชี้ ไม่เห็นมีอะไรให้ตื่นเต้น หลัง MOU44 ถูกขุดมาโจมตีรัฐบาลบอกบางคนไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ขอตีไว้ก่อน ยัน สัมพันธ์ส่วนตัว-ประโยชน์ของประเทศเป็นคนละเรื่องกัน“ภูมิธรรม” ตรวจเยี่ยม “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” ยืนยัน “กัมพูชา” ไม่เคลม และยอมรับว่าเป็นดินแดนไทย ด้านไทยสร้างไทย จี้ยกเลิกMOU44แล้วเขียนขึ้นมาใหม่
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 9 พ.ย. 2567 ที่วัดคลองครุ(ปัฐวิกรณ์) เขตคันนายาว กทม. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี MOU 2544 ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลไทย- กัมพูชา หรือ เอ็มโอยู 44 ที่ถูก หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง
โดยนายทักษิณ กล่าวว่า เอ็มโอยู 44 คือบันทึกข้อตกลงที่จะคุยกันในเรื่องที่ยังไม่ได้ตกลงกัน ยังไม่เรียกว่าเป็นข้อตกลง ที่ไม่ต้องเข้าสภาฯเพราะเป็นเพียงบันทึกข้อตกลง ที่จะคุยกันในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายไม่ตกลงกันว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้อย่างไร เป็นแนวที่จะคุยกันไม่ได้ตกลงอะไรกันเลย ซึ่งมีกฎหมายรองรับอยู่ ทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ , สนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ในช่วงที่ประเทศกัมพูชาเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจไม่มีอะไรเลย บางคนไม่ทราบว่าเอ็มโอยู44 คืออะไรแต่ขอตีไว้ก่อน
เมื่อถามว่ามีการนำประเด็นดังกล่าวมาโจมตีรัฐบาล นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่เห็นมีอะไรให้ตื่นเต้นเลยส่วนที่มีการนำเรื่องดังกล่าวไปเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ของนายทักษิณกับประเทศกัมพูชานั้น นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกัน
“ตอนที่ผมเป็นนายกฯ ตอนที่มีปัญหาเรื่องการบุกเผาสถานทูตไทยประจำกัมพูชา ตอนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันเลย แต่ถือว่าผลประโยชน์ประเทศมาก่อน โดยมีการคุยกันว่า ถ้าเอาไม่อยู่จะส่งเครื่องบินไปรับ ผมก็ส่งไปรับไม่เห็นมีอะไรเลย ผลประโยชน์ประเทศมาก่อน ความเป็นเพื่อนก็คือเพื่อน แต่ผลประโยชน์ของประเทศคือคนละเรื่องกัน” นายทักษิณกล่าว
วันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานของกำลังพลหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด พร้อมกล่าวให้โอวาทว่า มาตรวจเยี่ยมและดูความเป็นอยู่ของกำลังพลในพื้นที่ เพื่อให้สามารถปฎิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพเต็มที่ หากขาดเหลืออะไรขอให้แจ้งไปยังหน่วยที่เกี่่ยวข้อง สิ่งใดที่ดำเนินการแก้ไขได้ จะผลักดันเต็มที่
การเดินทางลงพื้นที่วันนี้ มายืนยันว่า เกาะกูดเป็นของประเทศไทย มีหน่วยงานราชการ ประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนถึงกำลังพลของกองทัพเรือที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ เพราะที่ผ่านมามีความเข้าใจผิดของคนบางกลุ่มในประเทศที่รู้สึกว่ามีปัญหาเอ็มโอยู 2544 ที่กัมพูชาลากเส้นมาและมีแนวเกาะกูดอยู่ตรงนั้นด้วย ถือเป็นการประกาศอ้างไหล่ทวีปขยายอาณาเขตตัวเองออกไปในปี 2515
ขณะที่ปี 2516 ไทยได้ประกาศไหล่ทวีปเส้นเขตแดนของเราเช่นกัน ทำให้มีเส้นทับซ้อนที่ต้องเจรจากัน โดยยึดกฎหมายระหว่างประเทศทางทะเล แต่ข อยืนยันได้ว่า พื้นที่ตรงนี้ยังเป็นของไทย และกัมพูชาไม่เคยพูดเรื่องนี้ และยอมรับโดยปริยาย ทั้งนี้มีการขีดเส้นที่เคยคุยกันในปี 2549 โดยเว้นเกาะกูดเอาไว้ เพียงแต่เราอยากให้เส้นนี้ขยายออกไปเพื่อให้เกิดความชัดเจน
นายภูมิธรรม ยังระบุว่า การเดินทางลงพื้นที่วันนี้ในฐานะรองนายกฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม พื้นที่นี้เป็นอธิปไตยของไทย มีกองทัพเรือรับผิดชอบทั้งบนบกและทะเล การลงพื้นที่เนื่องจากมีความไม่เข้าใจเอ็มโอยู44 และพื้นที่เกาะกูด หากมองไปรอบๆจะเห็นได้ว่าเกาะกูดมีธงชาติไทยอยู่บริเวณรอบๆ รวมถึงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ใช้ป้องกันประเทศ
อีกทั้งความสัมพันธ์ตามแนวชายแดนทางผู้บังคับหน่วยระดับสูงของไทย-กัมพูชาไปมาหาสู่กัน ผลัดกันมาเยี่ยมเยือน และร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้มีอะไรวิกฤติหรือน่ากังวล ยืนยันว่าที่นี่มีความสงบสุข มั่นคงปลอดภัย
ทั้งนี้หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด นอกจากดูแลอธิปไตยประเทศแล้ว ยังทำหน้าที่ดูแลเหตุทางทะเล อีกทั้งประชาชนในพื้นที่ไม่มีปัญหาเรื่องการพิสูจน์สิทธิ์ หลายพื้นที่เป็นเขต อุทยานพิสูจน์สิทธิ์ได้พอสมควรแล้ว อาจต้องเร่งคณะกรรมการจัดสรรที่ดินแห่งชาติ เพื่อใช้ วันแมพ ซึ่งมีความคืบหน้ามาตามลำดับ โดยได้มีการประชุมเพิ่มงบประมาณส่งเสริมให้กรมแผนที่ทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเรื่องนี้ให้สำเร็จเพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน
ส่วนจะต้องปรับปรุงเอ็มโอยู 44 หรือเปลี่ยนใหม่เพราะแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วการเจรจาไม่สำเร็จนั้น ย้ำว่า เอ็มโอยู44 ไม่ได้พูดถึงผลประโยชน์อะไร เพียงแต่ระบุว่ามีพื้นที่ทับซ้อนที่อยู่ในกฎหมายทะเล และเอ็มโอยู44 ขอให้มาดำเนินการในเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้อย่างสันติ
เวลาจะผ่านไปกี่ปี เอ็มโอยู44 ก็เป็นกลไกที่สำคัญ ทั้งกองทัพ กระทรวงต่างประเทศ กรมสนธิสัญญา เห็นตรงกันว่ากลไกนี้มีความสำคัญ แม้แต่นายกษิต ภิรมณ์ อดีต รมว.ต่างประเทศ อดีตทหารเรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เคยเป็นประธานคณะกรรมการร่วมเทคนิคฝ่ายไทย สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้เดินหน้าต่อเนื่องมาในทุกรัฐบาล
กรณียุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกษิตพูดชัดเจนว่า ไม่ใช่เพราะเอ็มโอยู 44 ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่ขณะนั้น รัฐบาลไม่พอใจสมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา แทรกแซงหรือไม่ จึงแสดงออกด้วยการตอบโต้ ไม่มีผลอะไร เพราะไม่ได้เข้าสภา หรือยกเลิก และทางกัมพูกชาไม่ได้ยกเลิกด้วย
มาถึงยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ดำเนินการต่อ เรื่องนี้หากใช้วิจารณญาณให้ครบถ้วนจะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร โดยกังวลเรื่องเดียวอย่าให้เอาผลประโยชน์ของพรรคการเมืองที่กำลังต่อสู้กัน หรือ แสดงออกด้วยกันกระทบผลประโยชน์ประเทศชาติ เพราะเรื่องอธิปไตยหรือเขตแดนไม่ใช่ของเล่นเฉพาะคนบางส่วน อยากให้คำนึงผลประโยชน์คนไทยเป็นสำคัญ
นายภูมิธรรม ย้ำถึงการลงพื้นที่เกาะกูดท่ามกลางการต่อต้านของฝ่ายการเมืองและครบางกลุ่มว่า ไม่ใช่การฝ่ากระแส แต่ในฐานะจะเป็นผู้รับผิดชอบการแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ควรมาดูพื้นที่ที่จะเจรจากันเท่านั้นเอง และมีภารกิจเยี่ยมกำลังพลอยู่แล้ว ถือโอกาสนี้ ส่วนการตั้งคณะกรรมการร่วมเทคนิคฝ่ายไทย (JTC) เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ตามที่นายกฯได้ระบุไปแล้ว ขณะนี้นายกฯไปปฎิบัติราชการต่างประเทศ แต่ระหว่างนี้ทางกรมสนธิสัญญา กระทรวงต่างประเทศนำร่างเดิมมาดูแล้วปัดฝุ่น ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการโดยตำแหน่งเกี่ยวข้องเขตแดน กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายทะเล แต่พยายามให้เพิ่มสำนักงานกฤษฎีกา อัยการสูงสุด สภาพัฒน์ ครอบคลุมมากขึ้น จะได้ไม่รู้สึกว่ากระทำเพื่อคนกลุ่มหนึ่ง รัฐบาลแคร์เรื่องนี้ ไม่ต้องห่วง
ส่วนกรณีสมเด็จฮุนเซน เคยแต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจกัมพูชานั้น เรื่องนี้ไม่มีปัญหา คิดว่าจากการสำรวจเสียงต่อต้านที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการเมืองที่ต่อสู้กันมา กรณีนายทักษิณ เกือบ 20 ปีมาแล้วที่ได้รับการแต่งตั้ง และนายทักษิณยังเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจประเทศอื่นด้วย ไม่ใช่เฉพาะกัมพูชา เพราะเห็นว่านายทักษิณประสบความสำเร็จแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หลายประเทศเชิญไป แต่ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นปัญหา และจบภารกิจไปแล้ว เรื่องธรรมดา อย่ากังวลและไปปลุกกันมาทุกเรื่อง
วันเดียวกัน นายศักดิ์ณรงค์ ศิริพร ณ ราชสีมา รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย กล่าวเรียกร้อง ให้นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม ได้พิจารณาทบทวนดูว่า ภายใต้ MOU 44 นี้ ประเทศไทยเราได้อะไร และเสียอะไร ถ้าเห็นว่าได้ไม่คุ้มเสีย ก็สมควรที่จะต้องยกเลิก MOU 44 นี้ แล้วหาวิธีเจรจาทำความตกลงกันใหม่ โดยไม่ต้องกังวลว่าเราจะยกเลิกไม่ได้ และกัมพูชาจะฟ้องร้องเรา เพราะ MOU คือ “บันทึกความเข้าใจร่วมกัน” เท่านั้น ไม่ใช่สนธิสัญญาอะไรที่มีข้อผูกมัดใดๆ ในเมื่อไทยเป็นรัฐเอกราช เราจะเจรจาด้วยกรอบอะไร อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของเรา เช่นเดียวกับกัมพูชา ที่ดำเนินการภายใต้นโยบายของเขา ไม่มีใครฟ้องใครได้ การยกเลิก MOU เป็นสิทธิ์ที่ไทยพึงกระทำได้ ไม่ต่างอะไรกับ MOU ที่พรรคต่างๆ ได้ร่วมกันทำขึ้นเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเสร็จ แต่จู่ๆ วันหนึ่งเพียงแค่ชั่วข้ามคืน พรรคแกนนำจัดตั้งยังยกเลิก MOU นั้นได้เลย ไม่เห็นต้องกลัวว่าพรรคต่างๆ ที่ร่วมลงนามด้วยจะฟ้องร้อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี