'พปชร.'ทำหนังสือเปิดผนึกเรียกร้อง'นายกฯ-ครม.' 4 ข้อ ยกเลิก MOU44 แก้ปัญหาเขตอธิปไตยเกาะกูด-ให้หน่วยงานรัฐหยุดการกระทำที่ก่อให้เกิดข้อผูกพันที่สุ่มเสี่ยงเสียดินแดน-ระลึกถึง ม.161 'บิ๊กป้อม'ฮึ่ม ทำทุกทางต้องรักษาแผ่นดินไทย แต่ยังไม่ลงพื้นที่รอดูสถานการณ์
เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2567 นายชัยมงคล ไชยรบ รองหัวหน้าพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือเปิดผนึก เพื่อส่งถึงนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งเนื้อหาระบุว่า ตามที่นายกฯ ได้มีดำริให้เดินหน้าเจรจาพื้นที่ทับซ้อนกับประเทศกัมพูชาตาม MOU 2544 เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ปิโตรเลียมที่ปรากฎเป็นข่าวนั้น พรรคพลังประชารัฐ ได้ศึกษาผลกระทบแล้ว พบว่ากรณีไทย-มาเลเชีย และไทย-เวียดนาม ทุกฝ่ายมีการปฏิบัติตามกฎหมายสากล ต่างกับกรณีพื้นที่ทับช้อนไทย-กัมพูชา เนื่องจากแผนที่แนบ MOU 2544 ได้ปรากฎเส้นเขตแดนของประเทศกัมพูชาที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสากล และรวมเอาน่านน้ำภายในของ จ.ตราด ทะเลอาณาเขตของเกาะกูดด้านทิศใต้ รวมถึงเขตเศรษฐกิจจำเพาะกลางอ่าวไทย เข้าเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชานำมาใช้เป็นกรอบการเจรจาทั้งที่ เมื่อปี พ.ศ.2561 ประเทศไทยได้ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทยไว้แล้ว
นายชัยมงคล กล่าวว่า การยอมรับเส้นเขตแดนของฝ่ายกัมพูชาที่กล่าวอ้างโดยไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายสากล จึงมีความสุ่มเสียงที่จะทำให้ประเทศไทยเสียอธิปไตยทางทะเลบริเวณเกาะกูด นอกจากนี้ MOU 2544 อาจเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 178 ถึงแม้จะใช้ชื่อว่า "MOU" โดยมิได้ไข้คำว่าว่าหนังสือสัญญาก็ตาม ดังนั้น การที่ MOU 2544 จัดทำขึ้นโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ใช้บังคับไม่ได้ หากนายกฯ และคณะรัฐมนตรีนำ MOU 2544 ไปดำเนินการแบ่งผลประโยชน์ทางทะเลในเขตอธิบไตยของไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา ทั้งๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ จะทำให้นายกฯ และคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
นายชัยมงคล กล่าวอีกว่า ด้วยเจตนารมณ์ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพรรคพลังประชารัฐ สส.พรรคพลังประชารัฐ จึงขอเรียกร้องต่อนายกฯ และคณะรัฐมนตรี 4 ข้อประกอบด้วย
1.ให้ดำเนินการตามกฎหมายเพื่อยกเลิก MOU 2544 อย่างเร่งด่วน
2.ให้ดำเนินการแก้ปัญหาเขตอธิปไตยทางทะเลบริเวณเกาะกูด ต้องยึดตามกฎหมายทะเลที่เป็นสากล และดำเนินการเจรจาเฉพาะเรื่องเขตแดนทางทะเลให้เสร็จสิ้นก่อน โดยต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องเขตแดนทางทะเล และอำนาจอธิปไตยของชาติยิ่งไปกว่าผลประโยชน์อื่นใด โดยจะต้องรักษาทรัพยากรของชาติไว้ให้ลูกหลานสืบไป
3.ขอให้นายกฯ สั่งการให้บุคคล และหน่วยงานรัฐ หยุดกระทำการใดๆ ในอันที่จะก่อให้เกิดข้อผูกพันตามกฎหมายอันจะนำมาซึ่งการเสียดินแดนอธิปไตยทางทะเล และผลประโยชน์ในทรัพยากรฯ ของชาติ และของประชาชน
และ4.ขอให้ระลึกถึงบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ที่ได้ถวายสัตย์ไว้ว่า "จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศ และของประชาชน และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"
พร้อมย้ำจุดยืนว่าพรรคพลังประชารัฐจะปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และมีข้อสงสัยว่า MOU 2544 จะเป็นการอาศัยมือต่างชาตินำผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน เกาะกูดไม่มีใครนำไปได้ เพราะเป็นแผ่นดินไทยแต่เราห่วงทรัพยากรธรรมชาติที่อยากเอาไว้ให้ลูกหลานไทยให้คนไทยได้ประโยชน์สูงสุด
ด้าน พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร มีนโยบายชัดเจนว่าจะทำทุกวิถีทางที่จะให้มีการยกเลิก MOU 2544 และรักษาไว้ซึ่งผืนแผ่นดินไทย ที่เป็นอาณาเขตของประเทศไทย ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ โดยประเทศอื่นจะมาใช้กรรมสิทธิ์ร่วมไม่ได้โดยเด็ดขาด ซึ่งพรรคพลังประชารัฐได้เคลื่อนไหวมาตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา จนมีมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ที่จะยื่นหนังสือเปิดผนึก ถึงนายกฯ เพื่อให้ยกเลิก MOU 2544
ส่วนพรรคพลังประชารัฐจะลงพื้นที่เกาะกูดหรือไม่นั้น พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ต้องรอดูสถานการณ์อีกครั้ง แต่ขณะนี้ในพื้นที่มีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่แล้ว และสิ่งที่พรรคเป็นห่วงคือในพื้นที่ทับซ้อน ที่มีการเซ็นยอมรับ ที่อาจเสี่ยงสูญเสียแผ่นดินไทย ทั้งนี้พรรคจะยื่นหนังสือถึงนายกฯ ภายในสัปดาห์นี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี