ต้องง้างปาก‘เทวดา’
‘โรม’ยันหาความจริงชั้น 14
คปท.ดักคอปปช.อย่าเป่าคดี
“รังสิมันต์ โรม” ประธาน กมธ.ความมั่นคงแจงเหตุเรียก“ทักษิณ”แจงปมนักโทษเทวดาชั้น 14 เพื่อต้องการค้นหาความจริงด้าน คปท.บุกป.ป.ช.ได้ข้อมูลคืบหน้าอนุฯสรุปสำนวนเทวดาชั้น 14 รอส่งป.ป.ช.ชุดใหญ่พฤศจิกายนนี้ คาดชี้ขาดรับ-ไม่รับเป็นคดีกุมภาพันธ์ปีหน้า ดักคออย่าเป่าคดีทิ้ง
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎรให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมระบุ การที่กรรมาธิการมั่นคงฯตรวจสอบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการหาเศษหาเลย ว่า เรื่องกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่เรื่องหาเศษหาเลย มันไม่ใช่เรื่องเล็กที่เราจะมองข้ามได้ ตนคิดว่าตัวชี้วัดสำคัญไม่ใช่กรรมาธิการอย่างเดียว แต่ตัวชี้วัดสำคัญคือภาพรวมของสังคมที่มีการตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้มาโดยตลอด ถ้าเรามองด้วยใจเป็นธรรม เรื่องของนายทักษิณผ่านมาพอสมควร แต่ทำไมสังคมยังติดใจ ยังสงสัย ยังมีคำถาม เพราะว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราไม่สามารถมองข้ามได้
ดังนั้น การที่กรรมาธิการได้แสวงหาข้อเท็จจริงนี้ ทั้งในแง่มุมกฎหมาย รัฐธรรมนูญก็ให้อำนาจเรา ในแง่ของการเมือง กรรมาธิการก็มีหน้าที่ในการที่จะต้องถามและตรวจสอบรัฐบาล ถ้าฝั่งรัฐบาลทำให้ถูกต้อง รัฐบาลไม่มีอะไรที่ปกปิด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลในเรื่องนี้ ตนคิดว่ารัฐบาลทำได้ง่ายๆ คือการให้ข้อมูลกับทางกรรมาธิการ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้
“สุดท้ายผลพิสูจน์ออกมาคุณทักษิณป่วยจริง มีความจำเป็นที่จะต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจจริง มีความจำเป็น ที่จะต้องรักษาตัวชั้น 14 นานขนาดนี้ แล้วต้องอยู่ที่ชั้น 14 เท่านั้น มีความจำเป็นอะไรก็แล้วแต่ ผมคิดว่าสุดท้าย มันก็จะเป็นสิ่งที่สามารถอธิบายได้ ถ้าสามารถตรวจสอบได้ มันก็จะเป็นเกราะคุ้มครองรัฐบาล โดยที่รัฐบาลไม่ต้องกังวลอะไร ส่วนคนที่วิพากษ์วิจารณ์ คนที่ตรวจสอบเรื่องนี้ เมื่อได้รับคำตอบมันก็จบ แต่ปัญหาก็คือว่าทำไมต้องทำให้เรื่องนี้ดูมีพิรุธ ทำไมต้องทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ให้ข้อมูลกับกรรมาธิการ ทำไมถึงต้องพยามอ้าง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย PDPA ต่างๆ ซึ่งเป็นการอ้างที่ผิด เพราะกฎหมาย PDPA เขียนเอาไว้ชัดเจนว่าไม่รวมถึงการทำหน้าที่ของสภาและกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการหาเศษหาเลย ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งกัน แต่เป็นเรื่องที่กรรมาธิการเรามีความจำเป็นที่จะต้องศึกษา เราในฐานะตัวแทนประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าตกลงแล้วภายใต้รัฐบาลนี้ กระบวนการยุติธรรมของประเทศเป็นอย่างไร เลือกปฏิบัติให้สิทธิพิเศษกับใคร
เมื่อถามว่านัดต่อไปจะมีเนื้อหาสาระอะไร และทำไมต้องถึงขนาดเชิญนายทักษิณ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ถ้าสัปดาห์ที่แล้วเราได้ข้อมูลที่เพียงพอมันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาต่อหรือเชิญนายทักษิณ แต่ต้องยอมรับว่าเราได้รับความร่วมมือน้อยมาก รวมไปถึงข้อมูลที่มีการพูดกันในกรรมาธิการต้องยอมรับกันตรงๆ ว่าข้อมูลที่ให้เราก็ให้น้อย
“กระทั่งก็ถามชื่อหมอ ชื่อคุณพยาบาลต่างๆ เรายังไม่ได้รับคำตอบเลย ข้อมูลหลายส่วนเป็นข้อมูลที่เป็นการพูดภาพรวม เป็นการพูดกว้างๆ เป็นการพูดหลักการทั่วไป แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดที่ทำให้ข้อมูลให้กรรมาธิการเข้าใจ ผมก็เลยคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาต่อในครั้งนี้ ซึ่งการพิจารณาต่อในครั้งนี้ เราก็พร้อมที่จะเปิดพื้นที่ให้กับรัฐบาลและหน่วยงานชี้แจง ทำไมถึงต้องเชิญคุณทักษิณ ในเมื่อถามหมอ ถามคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้รับคำตอบ ก็คงต้องถามคนป่วย คนที่เขาบอกว่าเขาป่วยดู ซึ่งถ้าเราได้คำตอบที่ชัดเจน ผมคิดว่ามันก็จบ แค่นั้นเอง” นายรังสิมันต์ กล่าว
ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหาบนเฟซบุ๊กสนับสนุนการทำงานของนายรังสิมันต์ โรม ประธานกมธ.ความมั่นคงในการสอบสวนเทวดาชั้น 14
“ต้องตรวจสอบค้นหาความจริงให้ได้ว่า นายทักษิณป่วยจริงหรือเปิดทิพย์ เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว และอย่าให้สังคมคลางแคลงใจ หรือตั้งข้อสงสัยว่าผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย กับผู้นำจิตวิญญาณของพรรคประชาชน มีความสัมพันธ์ที่ดีหรือมีดีลลับทางการเมืองต่อกัน นายรังสิมันต์ควรใช้โอกาสนี้พิสูจน์ให้สังคมเห็นว่า พรรคประชาชน เป็นพรรคฝ่ายค้านได้ทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น จะเรียกความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านของพรรคประชาชนกลับคืนมาได้”นายเทพไท ย้ำทิ้งท้าย
วันเดียวกัน นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) พร้อมด้วยตัวแทน เดินทางยื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้าการยื่นคำร้องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบไต่สวนบุคคลที่เกี่ยวข้องในการเอื้อให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเข้าพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในช่วงระหว่างการรับโทษจำคุก 1 ปีว่า มีการเจ็บป่วยวิกฤติจนถึงขั้นต้องนอนรักษาตัวนอกโรงพยาบาลราชทัณฑ์จริงหรือไม่ ซึ่งผู้ถูกร้อง ประกอบด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะกำกับดูแลกรมราชทัณฑ์,อธิบดีกรมราชทัณฑ์และอดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์,รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์,ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ และ แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นข้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ทำให้เกิดกระบวนการช่วยเหลือนายทักษิณ เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
นายพิชิตกล่าวว่าเรื่องนี้คปท.มีการยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 และที่ผ่านมาก็มีการทวงถามหลายรอบ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป วันนี้จึงเป็นการมาทวงถามเป็นครั้งที่ 4 และเป็นการทวงถามครั้งสุดท้าย และเป็นครั้งแรก ที่ได้เข้าหารือกับผู้ช่วย ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนโดยตรง หลังจากที่ผ่านมาได้พบเพียงเจ้าหน้าที่เท่านั้น
ทั้งนี้ หลังจากยื่นหนังสือแล้วนายพิชิตพร้อมด้วยตัวแทนได้เข้าหารือกับนายจักรกฤช ตันเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการป.ป.ช.ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในคดีนี้ ซึ่งมารับหนังสือทวงความคืบหน้าด้วยตัวเอง โดยใช้เวลาพูดคุยประมาณ 15นาที
นายพิชิต ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือกับผู้ช่วยเลขาฯ ป.ป.ช. ว่า หลังหารือกับผู้ช่วยเลขาฯ ป.ป.ช. ทราบว่าคณะกรรมการสืบสวนคดี ได้สรุปสำนวนเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้รับเอกสารเวชระเบียนที่ขอจากโรงพยาบาลตำรวจ ได้เพียงค่ารักษาพยาบาล ขั้นตอนจากนี้ ทางอนุกรรมการจะมีการสรุปสำนวนเสนอต่อต่อคณะกรรมการป.ป.ช. เพื่อให้เกิดสภาพบังคับ ภายในเดือน พฤศจิกายน 2567 ส่วนจะมีมติตั้งกรรมการไต่สวนจนไปสู่การชี้มูลกับใครบ้าง หรือจะตีตกสำนวนไปนั้น ผู้ช่วยเลขาฯ ป.ป.ช. ระบุว่า จะสรุปภายในเดือน กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งทาง คปท.จะมาติดตามอีกครั้ง
นายพิชิต กล่าวว่า จากการเข้าหารือกัน เบื้องต้นถือว่าพอใจ หลังจากการเดินทางมาติดตามหลายครั้ง เพราะที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดสืบสวนข้อเท็จจริง ดำเนินการอย่างเร่งด่วน และมีการส่งคำนวณ ภายใน 3 เดือน ทั้งนี้ในปีหน้าจะมาติดตามอีกครั้ง
“ป.ป.ช.ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนเพื่อชี้แจงต่อสังคม เพราะวันนี้ไม่ใช่แค่ คปท. เท่านั้นที่ร้องเรียนเข้ามา แต่สังคม ประชาชนทั่วไป ได้มีการติดตามเรื่องนี้ เพราะกรณีที่นายทักษิณ เข้ารับการรักษาที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เกิดคำถามเกิดขึ้นมากมาย ป.ป.ช. ก็เหมือนพนักงานสอบสวนที่ต้องชี้แจง หากมีการชี้มูลออกมา สังคมก็คงไม่มีการตั้งคำถามอีก เพราะขั้นตอนต่อไปจะมีการสืบข้อเท็จจริง ต่อไปแต่หากไม่ชี้มูลใครเลย ป.ป.ช. ก็จะต้องให้คำตอบกับสังคม ไม่เช่นนั้น ป.ป.ช. จะเป็นจำเลยของสังคมเสียเอง”นายพิชิต กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี