‘อุดรธานี’เดือดชิงนายกอบจ.
‘พิธา’ท้ารบ‘แม้ว’
ลั่นไม่เคยกลัวแพ้เลือกตั้ง
พท.เชื่อลูกทีมคว้าชัยชนะ
‘สนธิญา’ยื่นสอบเทวดา
ปมหยามนักร้องเป็นหมา
“พิธา” เปิดศึกน้ำลายถล่มเทวดาแม้ว ปลุกชาวอุดรธานี เลือกนายกอบจ.คนของพรรคประชาชน ด้านเพื่อไทยโวลูกพรรคชนะขาด คาดต่อสู้ดุเดือด “สนธิญา” ยื่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จี้ตรวจสอบเทวดาแม้วละเมิดสิทธิ์ว่านักร้องเป็นหมาโค้งสุดท้ายในการหาเสียงเลือกตั้งชิงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) อุดรธานี เป็นสนามเลือกตั้งที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดร้อนแรง ระหว่างผู้สมัคร จากพรรคเพื่อไทย (พท.) นายศราวุธ เพชรพนมพร อดีต สส.เพื่อไทย ในฐานะแชมป์เก่า กับ ผู้สมัครจากพรรคประชาชน (ปชน.) นายคณิศร ขุริรัง หรือ ทนายแห้ว
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคประชาชนได้มีการจัดเวทีปราศรัยย่อย ที่ลานข้างโบสถ์วัดป่าหลวงวการาม ต.นาข่า อ.เมืองอุดรธานี ช่วงค่ำวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567ซึ่งการปราศรัยครั้งนี้ มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ได้บินตรงจากประเทศสหรัฐอเมริกา มาที่ จ.อุดรธานี พร้อม นายชัยธวัช ตุลาธน น.ส.พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ พิพัฒน์ไชยศิริ ส.ส.อุดรธานี เขต1พรรคประชาชน ลงช่วยหาเสียง
‘พิธา’ปราศรัยอุดร-ด้อมส้มฟังแน่น
โดยมีคนมาร่วมรับฟังปราศรัยของนายพิธาทั้งคนสูงวัย และคนรุ่นใหม่ที่เป็นแฟนคลับ ตั้งแต่เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อนายพิธาเดินทางมาถึงได้ยกมือไหว้ทักทายแฟนคลับด้วยรอยยิ้ม และอ่อนน้อมถ่อมตน แฟนคลับบางส่วนได้ขอเซลฟี่อย่างเป็นกันเอง คล้องมาลัยและผูกผ้าขาวม้าตามประเพณีของคนอีสาน
โดยนายพิธาได้ปราศรัยชูนโยบาย เชิญชวนไปเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานีในวันที่ 24 พ.ย.นี้โดยใช้เวลาประมาณ 30นาที
จากนั้นนายพิธา พร้อมคณะลงพื้นที่ช่วย นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครนายกอบจ.อุดรธานีของพรรคประชาชน หาเสียงที่ถนนคนเดินสำนักงานเทศบาลนครอุดรธานี และหน้าศาลากลางอุดรธานี หลังจากเปลี่ยนกำหนดการจากครั้งแรกที่จะร่วมงานลอยกระทง มาเดินถนนคนเดินแทน ตลอดสองข้างทาง มีประชาชนมารุม ขอจับมือ ขอถ่ายรูปกันอย่างคึกคัก อย่างไรก็ดี ขณะที่นายพิธาได้ทักทาย พร้อมขอคะแนนเสียง ให้นายศนิศร และเชิญชวนให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งนายกอบจ.ในวันที่ 24 พ.ย. นี้
ลุยขึ้นเวทีปราศรัยวันเดียว3จุด
สำหรับในวันที่ 16 พ.ย. นายพิธา มีกำหนดขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ 3 จุด คือ จุดแรก ที่ตลาดนิยม อ.บ้านผือ เวลา 10.30-12.00 น. จุดที่ 2 อ.หนองหาน เวลา 15.30-17.00 น. และจุดสุดท้าย ที่บริเวณหนองประจักษ์ อ.เมืองอุดรฐานี เวลา 17.00 - 19.00 น.
อ้อนคิดถึงชาวอุดรฯเหมือนเดิม
นายพิธา ยังให้สัมภาษณ์ว่าวันนี้เป็นวันแรกโหมโรง แต่ก็อบอุ่นได้รับการต้อนรับจากพี่น้องชาวอุดรธานีเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ก็ไปที่ ต.นาข่า อ.เมือง เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีตลาดผ้าพื้นเมือง ก็ได้เจอกับพี่น้องประชาชน ให้ได้หายคิดถึง วันนี้วันลอยกระทง แต่กังวลว่าเป็นงานรื่นเริง มีเสียงเพลงมาเกี่ยวข้อง ทำให้ผิดกฎหมายเลือกตั้งได้ ทำให้วันนี้ต้องเปลี่ยนกำหนดการเล็กน้อย มาที่ถนนคนเดิน(หน้าศาลากลาง)แทน พี่น้องที่รอบริเวณจุดลอยกระทงอยู่ ก็ต้องกราบขออภัยมาด้วย ยืนยันว่าคิดถึงพี่น้องชาวอุดรฯเหมือนเดิม เพราะว่าเมื่อมีประเพณีไทยเมื่อไหร่ อย่างเช่นสงกรานต์ก็อยู่ที่อุดรธานี ขอบคุณอีกครั้งกับการต้อนรับ ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าเห็นโพลที่อุดรธานีหรือยัง นายพิธา ตอบว่า การปราศรัยของพรรคคู่แข่งบอกเป็นโพลเถื่อน ได้รับคำตอบว่าเห็นคร่าวๆ เห็นว่าเป็นอาจารย์ หรือ เป็นมรภ.อุดรธานี แต่ตนไม่ได้สนใจเรื่องผลของโพลนั้นมากเท่าไหร่ เห็นบอกว่าอีก50 %ของชาวอุดรธานียังไม่ตัดสินใจ หรือยังไม่รู้ว่าจะเลือกใคร คิดว่าจะใช้เวลาตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่24 พ.ย.นี้ ในการซื้อใจพี่น้องชาวอุดรธานีมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะอีก 50 % ยังไม่ตัดสินใจก็เสนอคุณคณิศร เบอร์ 1 จากพรรคประชาชน ซึ่งมีนโยบายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น รพ.สต.ก้าวหน้า, รถเมล์ไฟฟ้าภายในพื้นที่, การตั้งกองเศรษฐกิจของ อบจ. ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในพื้นที่
เย้ยปราศรัยพาดพิง ไร้สาระมาก
“งบ อบจ.อุดรธานีปีละ1,200ล้านบาท มีการคิดแผนจัดงบประมาณออกมาใหม่ว่าจะเอางบประมาณไปทำอะไร เพื่อแก้ไขปัญหาการสาธารณสุข การขนส่ง เศรษฐกิจ เรามีแผนงานเรียบร้อย เราจะเหลือเวลาอยู่ในการสื่อสาร 15-16-17พ.ย.นี้ ในการแถลงนโยบาย เชิญชวนทุกท่านมาใช้สิทธิกันเยอะวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หากวางแผนล่วงหน้า ก็จะไม่รบกวนการค้าการขายของพี่น้องประชาชนมากเกินไปก็หวังว่าจะไปใช้สิทธิกันเยอะๆ”นายพิธา ย้ำ
ผู้สื่อข่าวถามว่าในการปราศรัยอีกพรรคอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรได้พาดพิงไปถึงผู้สมัครพรรคประชาชน นายพิธาตอบว่าฟังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นสาระอะไรมาก ก็จะเน้นเองประโยชน์ของชาวอุดรฯเป็นที่ตั้งว่ามีปัญหาอย่างไร จะแก้ไขปัญหาอย่างไร
โต้‘แม้ว’ไม่เคยกลัวแพ้ เพราะเราโตขึ้น
และว่า ส่วนที่บอกว่าต้องบินมาจากอเมริกา เพราะกลัวแพ้ อย่างที่บอกไปครับว่า นักการเมือง นักเลือกตั้ง ไม่มีกลัวแพ้ เพราะแพ้มาเยอะ ชนะมาก็แยะ อย่างอุดรฯเขต 1สส.เคน(ณัฐพงศ์ พิพัฒน์ไชยศิริ) ปี 62 แพ้ ปี 66 ก็มาชนะ ซึ่งเป็นผู้สมัคร อบจ.อุดรธานี ครั้งนี้ ซึ่งการเลือกตั้ง อบจ.อุดรธานี ก็อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะมีปัจจัยหลายเรื่องที่ต่างจากการเลือกตั้งปี 66 ซึ่งมีเลือกตั้งล่วงหน้าใน-นอกเขต และต่างประเทศ อุดรฯสำคัญมากเพราะชาวอุดรธานีไปทำงานต่างประเทศมาก
“การแพ้ไม่ใช่ ปัญหาของพรรคประชาชน มีแต่ชนะแล้วพัฒนา ส.ส.ปี62 ได้มา1.4แสนคะนน, อบจ.ปี 63 ได้มา 1.8แสนคะแนน และ ส.ส.ปี 66 ได้มา 2.2แสนคะแนน เมื่อเราแข่งกับตัวเองไม่ว่าจะเป็นพรรคชื่ออะไร หัวหน้าพรรคคนไหนก็จะได้เห็นว่าเรามีคะแนนที่เติบโตขึ้น คราวนี้ก็หวังว่าถ้าประชาชนมาใช้สิทธิกันเยอะๆ คะแนนก็จะพัฒนาตัวเองได้ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะแพ้หรือชนะก็ตาม อย่างที่บอกว่าป๊อบ ศราวุธ พรรคเพื่อไทย เคยมีทั้งชนะ และแพ้ นักเลือกตั้ง จึงไม่กลัวแพ้ เพราะชนะก็กลับมาแพ้ แพ้ก็กลับมาชนะ แต่มีเฉพาะเผด็จการเท่านั้นที่กลับแพ้เลือกตั้ง จึงไม่ลงเลือกตั้ง แล้วใช้วิธีรัฐประหารเท่านั้น”นายพิธา กล่าว
ปมม.112แจงอ้างไม่มีเจตนายกเลิก
เมื่อถามถึงเรื่อง ม.112 นายพิธากล่าวว่า ก่อนการเลือกตั้งมีนโยบายหลากหลาย เมื่อมีการดีเบตกันพิธีกรก็จะถามเรื่องนี้ว่าคิดอย่างไรกับ ม.112 ก็ถามกลับไปว่า ให้ประชาชนกลับไปดูว่า แต่ละพรรคพูดอะไรกันไปบ้าง ถึงวันนี้แม้พรรคเราจะถูกยุบไปแล้ว เราไม่มีเจตนาจะยกเลิก หรือ ว่าสิ่งที่จะทำให้หลายคนเข้าใจผิด ว่าเราต้องการจะปฏิรูปประเทศ ด้วยการสาดโคลนมาไม่ว่าจะเป็นใคร ซึ่งก็ไม่เป็นความจริง
“มั่นใจในการเลือกตั้งอบจ.อุดรธานี ครั้งนี้เรียก ไม่ได้ว่าเป็นถิ่นของคนเสื้อแดง แต่เป็นพื้นที่ของคนรักประชาธิปไตย จากการเลือกตั้งล่าสุดปี 66 พรรคเพื่อไทยได้ 3.5 แสนคะแนน, ก้าวไกลได้ 2.5 แสนคะแนน พรรคไทยสร้างไทย ได้แสนกว่าคะแนน จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 พรรค เป็นพรรคของประชาธิปไตย และยังมีความหลากหลาย 3 พรรครวมกันเท่ากับ 80%ของพี่น้องชาวอุดรธานี แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นประชาธิปไตยสีเดียว รวมทั้งประชาธิปไตยจับมือกับพรรคทหาร คิดว่าไม่น่าจะถูกต้อง น่าจะไม่ตรงกับเจตนารมณ์กับการลงคะแนนของชาวอุดรธานีสักเท่าไหร่ ฉะนั้นอุดรธานีคือเมืองหลวงประชาธิปไตยแน่นอน”นายพิธา ย้ำ
‘อนุสรณ์’ชี้‘ศราวุธ’คว้าชัยอบจ.อุดร
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยลงพื้นที่ จ.อุดรธานี ช่วยหาเสียง ให้นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยา พรรคเพื่อไทย ยังคงรักษาโมเมนตั้มเชิงบวก จากชัยชนะในศึกเลือกตั้งซ่อม เขต 1 จ.พิษณุโลก ผสานกับผลงานรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ผลิดอกออกผลทั้งโครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจ การเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมจากนี้ไปผลงานของรัฐบาล จะเห็นมรรคผลเป็นรูปธรรม ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคัก รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้จัดงบประมาณเพื่อการพัฒนาประเทศมาแล้ว 2 ปี
อีก 2 ปีที่เหลือคาดว่านโยบาย ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส สร้างรายได้ใหม่ แก้หนี้ ปราบยาเสพติด จะเดินหน้าเต็มสูบ ในสถานการณ์ยากลำบากที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย ยังทำได้ดีขนาดนี้ เชื่อว่าช่วงเวลาที่เหลือ ตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้า จะได้เห็นแสงสว่างกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักสดใสอีกครั้ง
นายอนุสรณ์ยังย้ำว่า นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครทำงานอย่างหนัก ชูการสานต่อนโยบายเดิม ริเริ่มนโยบายใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนอุดร พร้อมทำงานสอดประสานกับรัฐบาล ที่กำลังเร่งสร้างผลงานอย่างเต็มที่ ปรากฎการณ์ที่นายทักษิณมาช่วยหาเสียง มาเยี่ยมยามถามข่าวพี่น้องคนอุดรในรอบ18ปีครั้งนี้ เป็นภาพยืนยันว่า อุดรธานียังคงเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดงและเป็นบ้านของพรรคเพื่อไทย
“พรรคเพื่อไทยขอโฟกัสที่ตัวเอง เช่นเดียวกับพี่น้องชาวอุดรธานี ที่ตัดสินใจได้ไม่ยากว่า จะใช้โอกาสนี้เลือกคนทำงาน เลือกคนในพื้นที่ ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ ความสามารถ มาทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อสร้างโอกาสให้คนอุดรต่อไป”นายอนุสรณ์ กล่าว
‘ณัฐวุฒิ’จี้‘ธนาธร’แจงให้ละเอียด
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ระบุว่า...ผมเป็นคนกำกับเวทีปราศรัยที่อุดรในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ยืนอยู่ใกล้ๆจุดที่คุณทักษิณให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวถามว่าในแต่ละเหตุการณ์มีบริบทเหมือน หรือต่างกันอย่างไร ระหว่างการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง มาจนถึงพรรคการเมืองถูกยุบ เพราะมีนโยบายแก้ 112 คุณทักษิณจึงตอบว่าเคยคุยกับคุณธนาธร โดยเล่าชะตากรรมของตัวเอง ให้ความเห็นเรื่องโครงสร้างและยังอธิบายด้วยว่าไม่ได้บอกว่าคุณธนาธรหรือพรรคไม่จงรักภักดี
ไม่มีการพาดพิงเรื่อง 112 กับพรรคก้าวไกล ในการตั้งรัฐบาลเลย
“หากคุณทักษิณ พูดเรื่องที่คุยกันคลุมเครือหลายครั้ง คุณธนาธรก็มีสิทธิ์ จะเล่าโดยละเอียดครบถ้วน ว่าตอนบินไปเจอได้คุยอะไรกัน หลังจากโหวตคุณพิธาครั้งแรก ไม่ผ่าน ผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่ได้ อย่างน้อยก็ตลอด 4 ปีของอายุสภานี้ และเชื่อด้วยว่าตั้งแต่ยุบอนาคตใหม่ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ยุบก้าวไกล และอาจเลยไปถึงชะตากรรมของ 44 ส.ส.ที่อยู่ในชั้นปปช. เป็นเรื่องเดียวกัน ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ผมเคารพวิจารณญาณของพรรคประชาชน”
ชี้‘แม้ว’เข้าใจปัญหาโครงสร้างดีที่สุด
นายณัฐวุฒิระบว่า ถ้าคุณทักษิณ เป็นคนที่น่าจะเข้าใจ ปัญหาโครงสร้างดีที่สุด เราก็น่าจะเข้าใจด้วยว่าในสภาพปัญหาที่ซับซ้อน คนหรือพรรคที่โดนมาอย่างหนักเกือบ20ปี อาจเลือกวิธีเผชิญปัญหาแบบหนึ่งซึ่งอาจจะเหมือน หรือต่างกับพรรคการเมืองอื่น แต่เมื่อเป็นการตัดสินใจทางการเมืองก็ต้องพร้อมน้อมรับการตัดสินใจของประชาชน การทำงานความคิดกับผู้คนในสังคม ย่อมมีหลากหลายรูปแบบและวิธีการ หากต้องเป็นไปตามแนวทางของพรรคใดพรรคหนึ่งเพียงอย่างเดียว ก็ยากที่จะเรียกว่า วิถีทางประชาธิปไตย
“สิ่งที่พรรคประชาชนพบไม่มีอะไรที่พรรคเพื่อไทย ไม่เคยเจอ ในระหว่างที่สังคมยังไม่สุกงอมพร้อมพอที่จะเปิดใจพูดคุยเรื่องโครงสร้าง สิ่งที่เพื่อไทยพยายามทำคือขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้าทีละก้าวเรื่องสิทธิ เสรีภาพและความเท่าเทียม เราได้พรบ.สมรสเท่าเทียมและครม.เพิ่งเห็นชอบการเร่งรัดหลักเกณฑ์การให้สัญชาติชนกลุ่มน้อยที่อาศัยในประเทศไทยมายาวนาน แม้อาจเป็นก้าวไม่ใหญ่นัก แต่ก็เป็นก้าวสำคัญและจะเป็นฐานยืนสำหรับก้าวต่อๆไป ผมเข้าใจและเห็นใจชะตากรรมของพรรคประชาชน เอาใจช่วยอย่าให้พบความโหดร้ายแบบที่ผมเคยผ่าน ไม่ประสงค์สร้างพื้นที่วิวาทะ เพียงแต่เป็นผู้ช่วยหาเสียงไปกับคุณทักษิณ 2 คน อยู่ในเหตุการณ์จึงเล่าสู่กันฟัง”
‘สนธิญา’ยื่น กสม.ตรวจสอบ‘เทวดา’
ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายสนธิญา สวัสดี เดินทางยื่นหนังสือ พร้อมหลักฐานภาพข่าวการหาเสียงนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ จ.อุดรธานี ให้กสม.ตรวจสอบกรณีนายทักษิณ ชินวัตร ละเมิดสิทธิในประเด็นที่ว่านักร้องเป็นหมา หมาอยู่ส่วนหมา คนอยู่ส่วนคน อย่าสนใจหมาเห่า ทั้งๆที่เป็นสิทธิตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ในฐานะนักร้องเรียน นักเคลื่อนไหว ทางด้านการเมือง ที่ทำมาแล้วกว่า 17 ปี
นายสนธิญา กล่าวว่ามายื่นหนังสือให้กสม. ตรวจสอบโดยเฉพาะคำว่านักร้อง หรือผู้ร้องเรียนเปรียบเสมือนหมา หมาอยู่ส่วนหมา คนอยู่ส่วนคน อย่าไปให้สำคัญกับผู้ร้องเรียนตนเองไม่เชื่อว่า จะเป็นคำพูดที่ออกมาจากอดีตนายกฯ 2 สมัย และผู้ที่มีวัยวุฒิสูง การพูดของท่านที่เกี่ยวกับผู้ร้องเรียน ตนเข้าใจว่าท่านกำลังเข้าใจผิด ในเรื่องของระบอบประชาธิปไตย มีการแบ่งหน้าที่และมีการตรวจสอบกันได้ตามสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 4 มาตรา 41(1)(2) มาตรา 50 ตรวจสอบรัฐราชการเพื่อประโยชน์อันสูงสุดของประเทศและประชาชน ซึ่งตนเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
ละเมิดสิทธิ์กล่าวหา‘นักร้องเป็นหมา’
การตรวจสอบรัฐบาลหรือการตรวจสอบการทำงาน ของรัฐบาล จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งหากการตรวจสอบหรือการร้องเรียนทำให้เกิดความเสียหายรัฐบาลก็สามารถดำเนินการเอาผิดได้ เช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้ตนเองกำลังให้ทนายความดูในรายละเอียดว่ามีการ ดูหมิ่น หมิ่นประมาทหรือไม่อย่างไร ซึ่งตนเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ร้องเรียนรัฐบาลนี้อยู่บ่อยครั้ง
“ผมเองเคารพในตัวอดีตนายกฯ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และเป็นพ่อของนายกคนปัจจุบัน สิ่งที่ผ่านมาท่านเป็นผู้กระทำผิดในคดีอาญา และกำลังถูกสอบเป็นผู้กระทำผิดในคดี 112 และหลังจากกลับมาก็จำคุก แต่ไปพักรักษาตัวที่ชั้น14 โรงพยาบาลตำรวจ จนครบวาระตามที่คำพิพากษาของศาล ซึ่งยังมีข้อสงสัยของสังคมตลอดมาจนวันนี้ แต่กลับมาใช้คำพูดนี้ในการดูหมิ่นเหยียดหยามบุคคลอื่นๆที่ทำตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ หากเข้าข่ายการหมิ่นประมาท ก็จะดำเนินการในขั้นตอนของกฎหมายต่อไป” นายสนธิญา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี