นิด้าโพลชประชาชนกังวล‘เกาะกูด’
ไม่ไว้วางใจรบ.อิ๊งค์
ปกป้องผลประโยชน์ชาติได้
หวั่นปม‘MOU44’ทำเสียหาย
นายกฯกลับจากประชุมเอเปก
โวประสบความสำเร็จหลายด้าน
นิด้าโพลชี้ปชช.เกือบ 59% ยังไม่เข้าใจประเด็น MOU 44 และเกาะกูดที่สำคัญคนที่เข้าใจประเด็น ไม่วางใจรัฐบาลจะปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้ ด้าน “นายกฯย้อนอดีต 20 ปีเผยโมเมนต์มาเอเปกครั้งแรกกับ‘ทักษิณ’ในปี2004 ได้กลับมาในฐานะ‘ผู้นำ’ตื่นเต้นและแตกต่างกัน
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ศูนย์สำรวจความคิดเห็นสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) หรือนิด้าโพลเปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “มีใครเข้าใจประเด็นโต้แย้งเรื่อง MOU 44 และเกาะกูด บ้าง” ซึ่งเป็นการสำรวจระหว่างวันที่ 12-13 พฤศจิกายน จากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ทั่วประเทศ รวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง
โพลไม่วางใจรบ.ปกป้องผลประโยชน์ปท.
ผลสำรวจพบว่า จากการสำรวจเมื่อถามความเข้าใจของประชาชนในประเด็นการโต้แย้งเกี่ยวกับ MOU 44 และสถานการณ์ของเกาะกูด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 58.86 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลย รองลงมา ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ ร้อยละ 15.65 ระบุว่า ค่อนข้างเข้าใจ และร้อยละ 6.18 ระบุว่า เข้าใจมาก
เมื่อสอบถามผู้ที่ระบุมีความเข้าใจมากและค่อนข้างเข้าใจในประเด็นการโต้แย้งเกี่ยวกับ MOU 44 และสถานการณ์ของเกาะกูด ซึ่งมี 288 หน่วยตัวอย่าง)เกี่ยวกับความไว้วางใจต่อรัฐบาลว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้หรือไม่ หากมีการเจรจา MOU 44 กับรัฐบาลกัมพูชา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 33.68 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ 29.17 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 24.65 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ และร้อยละ 12.50 ระบุว่า ไว้วางใจมาก
สำหรับความต้องการที่จะเข้าใจข้อโต้แย้ง MOU 44 และสถานการณ์ของเกาะกูดให้ชัดเจนมากขึ้น พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.22 ระบุว่า ไม่ต้องการ รองลงมา ร้อยละ 26.72 ระบุว่า ต้องการมาก ร้อยละ 16.64 ระบุว่า ค่อนข้างต้องการ และร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่ค่อยต้องการ
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงการมีแนวคิดความเป็น “ชาตินิยม” ของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.15 ระบุว่า มีความเป็นชาตินิยมมาก รองลงมา ร้อยละ 28.24 ระบุว่า ความเป็นชาตินิยม ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ร้อยละ 15.04 ระบุว่า ค่อนข้างมีความเป็นชาตินิยม ร้อยละ 7.33 ระบุว่า ไม่มีความเป็นชาตินิยมเลย ร้อยละ 6.26 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความเป็นชาตินิยม และร้อยละ 2.98 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
นายกฯตื่นเต้นมาเอเปกครั้งนี้ในฐานะผู้นำ
เมื่อเวลา 08.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู วันที่ 16 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวันที่ 17 พฤศจิกายนของไทย ที่โรงแรม Swissotel Lima น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์การเข้าร่วมประชุมเอเปกว่า ครั้งนี้ถือเป็นเป็นการมาเอเปกครั้งที่ 2 ครั้งแรกเดินทางมากับคุณพ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ในฐานะผู้ติดตามของนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2004 และปีนี้ 2024 ครบ 20 ปีพอดี กลับมาในฐานะผู้นำ
“มาครั้งนี้ตื่นเต้นและแตกต่างจากตอนมากับคุณพ่อ เนื่องจากต้องเข้าใจรายละเอียดการประชุมและหัวข้อการประชุม ต้องพูดคุยให้ครบทุกประเด็นที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เจอกับพบผู้นำมากมายขนาดนี้” น.ส.แพทองธาร กล่าว และว่า รู้สึกเสียดายที่มาประชุมเอเปกเมื่อปี 2004 กับนายทักษิณได้มีโอกาสจับมือกับผู้นำหลายคน แต่ไม่มีรูปถ่ายเลย เนื่องจากสมัยนั้นโทรศัพท์มือถือไม่เป็นแบบนี้ แต่ยังดีที่นักข่าวถ่ายภาพไว้ตอนที่ลงเครื่องกับคุณพ่อ
นายกฯเผยบ.ต่างชาติสนใจลงทุนในไทย
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสรุปภาพรวมภารกิจการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องที่สาธารณรัฐเปรู ดังนี้ นายกฯกล่าวชื่นชมเปรูในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปก ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยไทยได้เป็นเจ้าภาพเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด BCG Economy หรือ Bio-circular -Green economy สำหรับการประชุมครั้งที่ 31 นี้มีหัวข้อหลัก เช่นการเสริมสร้างพลังการมีส่วนร่วม และการเติบโตที่ยั่งยืน (Empower Inclusive Growth) เพื่อให้สมาชิกเติบโตไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ยังขับเคลื่อนการลงทุนและผลักดันให้เกิดการค้าเสรี หรือ FTA ขณะเดียวกัน ก็ส่งเสริมเรื่องนวัตกรรม ดิจิทัลและการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งตรงกับนโยบายที่ไทยกำลังผลักดันอยู่ขณะนี้ ทั้งนี้ สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปกมีแนวทางเดียวกันในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ว่าเป็นการพัฒนาพลังงานแห่งอนาคตที่ยั่งยืน และวิธีรับมืออุปสรรคและปัญหาจากภัยธรรมชาติ การนำเทคโนโลยีที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกันมาสนับสนุนแลกเปลี่ยนกัน
นายกฯกล่าวต่อว่า เวทีการหารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปก (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders ) ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ โดยได้คุยกับนักธุรกิจระดับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจ อาทิ พลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า และAI ซึ่งหลายบริษัทสนใจลงทุนในประเทศไทยมาก และเชิญชวนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยโดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI Semiconductor และ Data center และยังคุยกับเอกชนยักษ์ใหญ่ 3 บริษัท ประกอบด้วย Tiktok Microsoft และ Google ที่แจ้งว่าสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่ม
ย้ำกลางวงประชุมไทยพร้อมมุ่งพัฒนาศก.
“การลงทุนอย่าง Data center จะทำให้คนไทยเกิดการจ้างงานแบบใหม่ ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพี ของไทยตอนนี้เติบโตไม่เต็มศักยภาพ การหาเม็ดเงินใหม่ๆเข้าประเทศจะให้คนไทยมีรายได้และมีอาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไทยจะต้องพัฒนาทุกด้านไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหมื่น การสร้างรายได้ใหม่ ซอฟต์พาวเวอร์ การลงทุน และการหาเม็ดเงิน เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งทุกกรอบการประชุมต่างๆ ได้ระบุไปว่า ไทยพร้อมแล้วที่จะมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจ โดยจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านเกษตรกรรมอัจฉริยะ หรือ Smart farming อย่างแท้จริง”
ส่วนการหารือทวิภาคีกับ นางดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต เซการ์รา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู นายกรัฐมนตรี กล่าว ยืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกันโดยเฉพาะการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างไทย-เปรู ซึ่งเปรูเพิ่งเปิดท่าเรือชางใค ที่จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งสินค้าเกษตรของไทยได้เป็นอย่างมาก และสามารถเชื่อมโยงกับโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยในอนาคตได้อีกด้วย
“จะให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นำไปพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์ ขนสัตว์อัลปากาของเปรูที่มาทำเป็นเสื้อผ้า มาผสมผสานกับผ้าไหมของไทย เพื่อให้เกิดเนื้อผ้าพิเศษขึ้นมาเพื่อนำเสนอเป็น “ซอฟต์พาวเวอร์” ของทั้งสองประเทศ มารวมกันเพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง” นายกฯระบุ
ถกปธน.จีนร่วมฉลองสัมพันธ์50ปี
ส่วนการหารือทวิภาคีกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้พูดคุยถึงความร่วมมือกันในปีหน้า ที่ไทย-จีน จะเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี โดยจีนได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระเขี้ยวแก้ว มาประดิษฐานไว้ที่ประเทศไทยในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ และจีนยืนยันที่จะมอบหมีแพนด้ายักษ์มาประเทศไทยอีกครั้ง นอกจากนี้ ไทยพร้อมเรียนรู้รูปแบบการพัฒนาประเทศของจีน ในการลดความยากจน รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ และเชิญชวนให้ภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนที่ไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประธานาธิบดีจีนกล่าวยินดีและยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ Online scam ระหว่างกัน และจะสนับสนุนไทยเข้าร่วม BRICS ด้วย
ย้ำไทยพร้อมรับการลงทุนจากเอเปก
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเข้าร่วมงานกาล่าดินเนอร์ทั้ง 2 คืน ทั้งในงานเลี้ยงอาหารค่ำ APEC CEOs-Leaders Dinner และ งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกว่า “ได้สร้างความมั่นใจให้กับประเทศไทยและเชิญชวนภาคเอกชนเขตเศรษฐกิจสมาชิกมาลงทุนที่ประเทศไทย ตลอด 3 วัน ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมาก เพราะได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อกัน ขณะเดียวกันย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลกด้วยว่า ประเทศไทยพร้อมแล้ว สำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและสมาชิกเอเปก โดยมั่นใจว่าการได้พูดคุยกันจะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และหาโอกาสให้กับประเทศไทยได้ง่ายขึ้น”
นายจิรายุ กล่าวถึงบรรยากาศการประชุมในครั้งนี้ ว่าเจ้าภาพเปรูเป็นประธานจัดงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเวทีการประชุมในแต่ละเวทีตลอด 3 วัน ได้สอดแทรกศิลปวัฒนธรรมของเปรูไว้ทุกเวที นายกรัฐมนตรี ผู้นำของประเทศไทยรับความสนใจอย่างมาก ในทุกครั้งที่ขึ้นกล่าวหรือแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุม ก่อนพิธีปิดประชุมเอเปก ครั้งที่ 31 อย่างเป็นทางการ เปรูในฐานะเจ้าภาพได้มอบผ้าพันคออัลปาก้า เป็นที่ระลึกให้กับผู้นำประเทศต่างๆที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย
นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะจะออกเดินทางกลับจากสาธารณรัฐเปรู ในเวลา 18.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 12 ชั่วโมง) วันที่ 16 พ.ย. ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 27 ชั่วโมง โดยจะถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ วันที่ 18 พ.ย.เวลา 11.00 น.(ตามเวลาประเทศไทย)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี