เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า รู้ทันทักษิณ รู้ทันทรัมป์ (2) ฉลาดแต่โกง จริงหรือไม่? ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
"พฤติกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ปลุกระดมมวลชนสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นที่รัฐสภา ขณะที่ถูกยึดอำนาจหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นเวลาสี่ปี ทรัมป์มีคดีความชนักติดหลัง พยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่ก็หวนคืนสู่อำนาจได้อีกครั้ง
จึงอดที่จะคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่ทักษิณได้กลับมา แสดงความยิ่งใหญ่ แทรกแซงทำลายกระบวนการยุติธรรมเพื่อประโยชน์ของตน ไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว และมีชนักปักหลังไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ แต่ก็แสดงอำนาจเหนือรัฐบาล
จึงน่าสนใจที่จะเปรียบเทียบพฤติกรรม เบื้องหน้าเบื้องหลังของทั้งสองคน
1.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของธุรกิจผูกขาดขนาดใหญ่ ประสบความสำเร็จจากการเลือกตั้งภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง 2540 ขณะที่ผู้คนถวิลหานักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาบริหารประเทศ เพราะมุ่งหวังว่าจะได้ช่วยนำพาเศรษฐกิจ โดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐอเมริกาหลังวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ที่คนอเมริกันแสวงหาผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมานำประเทศ
2.ทั้งทักษิณและทรัมป์ ยึดนโยบายประชานิยม ชาตินิยม ผลประโยชน์ที่ให้เฉพาะคนใกล้ชิดสวามิภักดิ์ และกลุ่มคนที่เลือกเขาเป็นหลัก เยียดคนกลุ่มน้อย และนิยมใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา
3.ทั้งทรัมป์และทักษิณ เป็นคนพูดจาโผงผาง อวดดีไม่เกรงกลัวอะไร ใช้ระบบพรรคพวก เอื้อประโยชน์คนรอบข้าง คนในครอบครัว ทั้งภรรยา น้องสาว ลูกสาว ลูกเขย ให้มีส่วนในการเข้าแทรกแซงการบริหาร และสืบทอดอำนาจในตระกูลของตน
4.ทักษิณพยายามแทรกแซงวุฒิสภา แจกจ่ายผลประโยชน์ให้ ส.ว. พยายามเปลี่ยนประธานวุฒิสภาและประธานกรรมาธิการให้เป็นคนของตน ไม่ต่างอะไรกับทรัมป์ที่แทรกแซงวุฒิสภา พยายามกดดันผ่านรองประธานาธิบดีที่ทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภา
5.ทักษิณแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ครอบงำองค์กรอิสระ ถึงกับเคยกล่าวว่า “กกต. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นคนของเรา” ทรัมป์พยายามแทรกแซงกระบวนการสอบสวนที่ตรวจสอบพฤติกรรมของตน และสุดท้ายพยายามส่งคนของตนไปเป็นศาลสูงสหรัฐอเมริกา ก่อนการเลือกตั้งครั้งสำคัญ
6.ทั้งทักษิณและทรัมป์แทรกแซงและครอบงำสื่อมวลชน จนกระทั่งสื่อมวลชนแตกแยกเป็นฝักฝ่าย แยกเป็นสองค่าย กลายเป็นสื่อเลือกข้าง เหมือนกันทั้งสองประเทศ
7.ทักษิณและทรัมป์ถูกกล่าวหาว่าหลบเลี่ยง ไม่จ่ายภาษีเป็นจำนวนมากมหาศาล และทั้งคู่ก็แอบอ้าง บิดเบือนประเด็นไปว่า ตนจ่ายภาษีมากกว่าใครๆ ในประเทศเสียอีก
8.ทรัมป์และทักษิณเป็นนักธุรกิจระดับเศรษฐีที่นิยมครอบครองบ้านหลายหลังอยู่ในหลายประเทศ และอวดร่ำอวดรวยไม่ต่างกัน
9.ทรัมป์และทักษิณเป็นตัวอย่างที่น่าหยิบยกขึ้นเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาว่ารูปธรรมของเผด็จการโดยทุนสามานย์ ที่ใช้เงินเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจเป็นเช่นไร และส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างไร
10.จิตแพทย์หญิงชาวสหรัฐอเมริกาเคยอัดคลิปแสดงความเป็นห่วงว่าทรัมป์น่าจะมีปัญหาทางจิต หากปล่อยให้เป็นผู้นำประเทศบ้านเมืองจะเสียหาย
เช่นเดียวกัน เมื่อครั้งทักษิณดำรงตำแหน่งนายกฯของไทย จิตแพทย์ได้เขียนในหนังสือ “รู้ทันทักษิณ” แสดงความเป็นห่วงในพฤติกรรมว่า ผู้นำของไทยอาจเป็นคนสองบุคลิกและเป็นคนมีปัญหาที่เรียกว่า “บ้าใหญ่ บ้าโต” (Megalomania) หรือไม่
11.เมื่อจะสูญเสียอำนาจ ทักษิณปลุกระดมคนเสื้อแดงผ่านวิดีโอคอล “ผมแพ้ไม่ได้” “ให้ออกมากันให้มากๆ หากมีการใช้กำลัง ให้ปฏิบัติการได้ทันที” เช่นเดียวกับทรัมป์เมื่อจะสูญเสียอำนาจก็ปลุกระดมมวลชนมาบุกรัฐสภา โดยใช้วิดีโอคอลเช่นเดียวกัน และบอกให้มวลชนต้องแข็งกล้า ไม่ยอมแพ้
12.การปลุกระดมของทักษิณและทรัมป์ นำมาซึ่งความรุนแรง มีการเผา มีการทำลายทรัพย์สิน มีผู้เสียชีวิตจากการปะทะของทั้งสองฝ่ายในทั้งสองประเทศ
13.แม้ทักษิณ และทรัมป์จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว สังคมของทั้งสองประเทศก็เกิดความแตกแยกแบ่งฝ่ายและมีทีท่าว่าจะลุกลาม ส่งผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจ และสังคมในอนาคต
14.ทรัมป์ กลับมามีอำนาจประกาศเปลี่ยนโครงสร้าง ลดหน่วยงานและจำนวนเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อลดงบประมาณ โดยให้อีลอน มัสก์ ตั้ง Department of Government Efficiency ((DOGE) ขึ้นมา
สมัยทักษิณเรืองอำนาจ ประกาศปรับโครงสร้างราชการใหม่ แต่สุดท้ายไปเพิ่มกระทรวงเทคโนโลยีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และฟื้นกระทรวงวัฒนธรรมที่เคยยุบไปแล้วให้กลับมาและมีจำนวนมากขึ้นไปอีก ในวันที่ 3 ตุลาคม 2545
15.ทักษิณประกาศต่อฟ้าและแผ่นดิน ว่าอยากกลับประเทศไทยอายุมากแล้วเลิกยุ่งการเมืองแล้วจะกลับไปเลี้ยงหลาน และในที่สุดได้รับพระราชทานลดโทษเหลือจำคุกเพียง 1 ปี ด้วยความสามารถพิเศษที่ไม่ตรงไปตรงมา ทักษิณก็สามารถไม่ต้องถูกจำคุกในเรือนจำแม้แต่วันเดียว
ทรัมป์ ต้องคดีหลายคดีเมื่อได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง ก็สามารถหลบหลีกการถูกดำเนินคดีเพราะกติกาของบ้านเมืองระบุให้หยุดการพิจารณาคดีไว้ก่อน เกรงว่าผู้นำประเทศจะเสียสมาธิในการทำงาน
16.ทรัมป์ ไม่รู้จักสำนึกผิด ไม่สนใจบรรทัดฐานของสังคม ไม่เคารพยำเกรงกระบวนการยุติธรรม
ยึดประโยชน์ของตนต้องมาก่อน
ทักษิณพฤติกรรมคล้ายกันหรือไม่ ประกาศ “ผมแพ้ไม่ได้” “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูน” “จะกลับบ้านอย่างเท่ๆ ไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว”
ทรัมป์และทักษิณเป็นตัวอย่างที่น่าหยิบยกขึ้นเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาว่ารูปธรรมของเผด็จการโดยทุนสามานย์ ที่ใช้เงินเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจเป็นเช่นไร และส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างไร
ทรัมป์และทักษิณ มีอายุล่วงเลยเข้าใกล้ 80 ปีแล้ว ทรัมป์มีอายุมากกว่าทักษิณ 3 ปี ทั้งคู่หลีกหนีความตายไม่พ้น หากจะคำนวณเทียบกับอายุเฉลี่ยของผู้ชายในทั้งสองประเทศ ทั้งทรัมป์และทักษิณจะมีมีอายุอีกเพียงอย่างมากก็ 3000 วัน ก็ต้องตาย
คำถามคือ เมื่อเขาจากไป ผู้คนสังคมจะจารึกบุคคลทั้งสอง ว่าอย่างไร? และจะตรงกับที่เขาทั้งสองอยากให้จารึกหรือไม่?
เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี