‘นิพนธ์’ฟาดยับแจกเงิน1หมื่นบาท
รบ.เอาเปรียบ
เล็งผลเลือกตั้งท้องถิ่นเหนือคู่แข่ง
‘สมชัย’ชี้หมิ่นเหม่ตกเขียว
‘ธีระชัย’ฟันเปรี้ยงผิดก.ม.
รุมสับนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท “อดีตรมว.คลัง” ฟันเปรี้ยง แจกเงินผู้สูงวัย อายุเกิน 60 ปี ผิดกฎหมายพร้อมแจงรายละเอียดยิบด้าน “สมชาย”เตือนแจกเฟส 2 เสี่ยงติดคุกทั้ง ครม.“นิพนธ์”ฟาดรัฐบาลแค่การลูบหน้าปะจมูก ซัดแจกเงินเพื่อประชาชนหรือเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง ชี้ใช้ทรัพยากรชาติสร้างคะแนนนิยม-เอาเปรียบคู่แข่งเลือกตั้งท้องถิ่น
“สมชัย” ฟาดเปรี้ยงหมิ่นเหม่ตกเขียวเลือกตั้ง อบจ.
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2567 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหัวข้อ แจกเงินอายุเกิน60ปีผิดกฎหมาย” ระบุว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ1/2567 ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบมาตรการแจกเงิน 10,000บาท เฟส2 ให้กับผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมประมาณ 4ล้านคน ใช้งบประมาณ 40,000ล้านบาทผมมีความเห็นว่าเป็นการผิดกฎหมาย ฝ่าฝืน พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ1.มาตรการนี้เป็นโครงการต่างหากจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตสื่อรอยเตอร์สรายงานว่า รัฐมนตรีคลังจะแจกเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 จำนวน 4ล้านคน แต่ขอให้ผู้อ่านสังเกตว่า รัฐบาลเองไม่กล้าใช้คำว่า ดิจิทัลวอลเล็ต กลับเรียกเป็น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส2ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ในทางกฎหมาย นี่ไม่ใช่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตตามที่หาเสียงไว้ แต่เฉไฉไปเป็นโครงการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความนิยม
2.โครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 1 เน้นกลุ่มเปราะบาง แต่เฟส 2 ไม่ใช่แจกกลุ่มเปราะบาง แต่แจกกลุ่มเปรอะไปหมดสังคมพอจะรับการแจกเงินในเฟส 1 ได้ เพราะแจกแก่กลุ่มผู้เปราะบาง แต่การแจกในเฟส 2 ไม่ได้แจกแก่กลุ่มผู้เปราะบาง แต่แจกแก่กลุ่มผู้มีอันจะกิน โดยมีการเปลี่ยนแปลงนิยามให้หลวมโพรก ทั้งด้านรายได้ ด้านทรัพย์สิน และด้านคุณสมบัติอื่น
ด้านจำกัดฐานะรายได้ หลักเกณฑ์เดิมบุคคลรายได้ต่อปี ต้องไม่เกิน 100,000บาทและครอบครัว: รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี ต้องไม่เกิน 100,000 บาทด้านจำกัดฐานะรายได้ หลักเกณฑ์ใหม่รายได้บุคคลต่อปี ขยายมหาศาลเป็นไม่เกิน 840,000 บาท โดยรายได้ครอบครัวอาจจะมากกว่านี้อีกเท่าไหร่ก็ได้ ไม่จำกัดด้านจำกัดฐานะทรัพย์สิน หลักเกณฑ์เดิม$$ มีทรัพย์สินทางการเงินได้แก่ เงินฝาก สลาก พันธบัตร และตราสารหนี้ภาครัฐบุคคลไม่เกิน 100,000บาทและครอบครัวเฉลี่ยต่อคนไม่เกิน 100,000บาท
ด้านจำกัดฐานะทรัพย์สิน หลักเกณฑ์ใหม่$$ มีเงินฝาก ขยายอย่างเกินเหตุ เป็นไม่เกิน 500,000 บาท
ด้านจำกัดความสามารถในการกู้ หลักเกณฑ์เดิมถ้ามีเครดิตกู้บ้าน ต้องไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และถ้ามีกู้รถ ต้องไม่เกิน1ล้านบาทต้องยังไม่มีฐานะพอที่จะมีบัตรเครดิต
ด้านจำกัดความสามารถในการกู้ หลักเกณฑ์ใหม่มีเครดิตสามารถกู้เงินอยู่แล้ว เท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดมีฐานะดี ขอบัตรเครดิตกี่ใบก็ได้ มีวงเงินที่จะใช้บัตรเครดิตเท่าไหร่ก็ได้ด้านคุณสมบัติอื่น หลักเกณฑ์เดิมไม่แจกแก่ข้าราชการ/ พนักงานราชการ/ พนักงาน/ ลูกจ้าง/ เจ้าหน้าที่/ ผู้ปฏิบัติงาน ในหน่วยงานของรัฐไม่แจกแก่ผู้รับบำเหน็จรายเดือน/ ผู้รับบำนาญปกติหรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการไม่แจกแก่ ข้าราชการการเมือง สส.สว.ด้านคุณสมบัติอื่น หลักเกณฑ์ใหม่ไม่มีข้อห้ามเช่นเดิมเลยทั้งนี้ วงเงินรายได้ 840,000 บาท/ปีนั้น นำมาจากหลักเกณฑ์ดิจิทัลวอลเล็ต แต่เป็นการอ้างข้ามสายพันธุ์ ทั้งที่การแจกเฟส 2 ไม่มีอะไรเป็นดิจิทัลเลยนอกจากนี้ การเปลี่ยนมาแจกเป็นเงินสด ก็ควบคุมเงื่อนไขการใช้เงินไม่ได้เหมือนดิจิทัล จึงไม่มีเหตุผลที่จะแจกเงินนอกเหนือไปจากกลุ่มเปราะบาง
3.การแจกเงินแก่กลุ่มผู้มีอันจะกิน ฝ่าฝืนกฎหมายถึงแม้หลักเกณฑ์ที่แถลงอ้างว่า ผู้รับเงิน 10,000 บาท เฟส 2 เป็นกลุ่มเปราะบาง แต่ในข้อเท็จจริง ไม่ใช่กลุ่มเปราะบาง กลับเป็นกลุ่มที่มีฐานะช่วยตัวเองได้อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องแจกเงินแก่ผู้ที่มีอันจะกินอยู่แล้ว 4.ฝ่าฝืน พรบ.วินัยการเงินการคลังฯมาตรา 6 รัฐต้องดำเนินนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ตามหลักการรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และหลักความเป็นธรรมในสังคม และต้องรักษาวินัยการเงินการคลังตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อย่างเคร่งครัดมาตรา7 การกู้เงิน การลงทุน การตรากฎหมาย การออกกฎ หรือการดําเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วยมาตรา9 ครม.ต้องรักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้อย่างเคร่งครัด
ในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบครม.ต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว
ผมจึงมีความเห็นว่า มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ที่ไม่ได้แจกให้แก่กลุ่มเปราะบางอย่างแท้จริงเหมือนอย่างเฟส 1 เป็นการก่อหนี้สาธารณะที่ไม่คุ้มค่าและไม่จำเป็น และมีผลกระทบเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
นอกจากนี้ มีผลเป็นการมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาวอนึ่ง ผมได้รับฟังรัฐมนตรีคลัง (นายพิชัย ชุณหวิชร) ปรารภต่อสื่อว่า พื้นที่ทางการคลังเหลือน้อยแล้วจากการมีหนี้สาธารณะจำนวนสูง แต่ท่านกล่าวเตือนเช่นนี้ คงจะลืมเตือนตัวเองท่านคงลืมไปว่า ประเทศเรามีปัญหาในเชิงโครงสร้างอีกหลายด้าน รัฐบาลจำเป็นจะต้องใช้จ่ายอีกมากเพื่อแสวงหาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่การเอาเงินมาแจกเปรอะเพื่อสร้างความนิยม ทำให้ไม่เหลือกระสุนเพื่อใช้ยามจำเป็น
นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์แสดงความคิดเห็นต่อข้อเขียนของนายธีระว่า”#เสี่ยงคุกทั้งครม.ความเห็นส่วนตัว เห็นด้วยกับอาจารย์ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ครับแจกเงินหมื่นรอบ2น่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหลายประเด็น ดูแล้ว ไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจนแบบกลุ่มเปราะบาง ไม่เข้าเงื่อนไขวิกฤติเศรษฐกิจ เร่งด่วน สงสัยว่าน่าจะผิดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และกฎหมายอื่นหลายประเด็นครับ #เตือนมาด้วยความหวังดี”
นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย-อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตนายก อบจ.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟส2 โดยการแจกเงิน10,000 บาท ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่ลงทะเบียนในระบบและยืนยันตัวตนแล้ว รวมกว่า 4ล้านคน คิดเป็นวงเงิน 40,000 ล้านบาท ว่า รัฐบาลระบุว่าประชาชนจะได้รับเงินก่อนตรุษจีน2568 หรือวันที่ 29 มกราคมปีหน้า ซึ่งใกล้กับการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น( อบจ. )ทั่วประเทศ โดยจะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของ กกต.ขอตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายนี้ การแจกเงินนี้ไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจ แต่เป็นเพียงแค่การลูบหน้าปะจมูกหรือทำแบบไฟไหม้ฟาง“เท่านั้น เพราะแม้การแจกเงินสดอาจสร้างความสุขชั่วคราวให้ประชาชนได้ แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถติดตามข้อมูลการใช้จ่ายได้เหมือนที่เคยวางแผนไว้ในรูปแบบ Digital Wallet ซึ่งได้ล้มเหลวไปแล้ว พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลพยายามวาดภาพนั้น ได้เกิดขึ้นจริงหรือยัง หรือเป็นแค่โฆษณาเพื่อสร้างคะแนนนิยม เพราะจนถึงขณะนี้ รัฐบาลยังไม่มีคำตอบว่าผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจนต่อเศรษฐกิจคืออะไร และที่สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลจะเอาเงินจากไหนมาใช้หนี้จำนวนมหาศาลที่กู้มาแจก
นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า การแจกเงินในช่วงตรุษจีนแบบนี้ แทนที่จะเป็นนโยบายเพื่อช่วยผู้สูงอายุ กลับกลายเป็นนโยบายที่มุ่งสร้างอานิสงส์ทางการเมือง เพราะอีกเพียงไม่กี่วันก็ถึงการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นผู้สมัครในนามพรรครัฐบาลหรือมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลย่อมได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน คู่แข่งกลับไม่มีทรัพยากรในระดับเดียวกันที่จะสร้างความได้เปรียบเช่นนี้เตือนรัฐบาลว่า ควรมุ่งสร้างนโยบายเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้เกิดผลผลิต การจ้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน โดยเฉพาะการลงทุนด้านผลิตคนที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิตอล AI มากกว่าการแจกเงินที่สร้างหนี้และไม่มีผลลัพธ์ในระยะยาว พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนจับตามองว่า รัฐบาลจะจัดการกับหนี้สินที่กู้มาผลาญอย่างไร และเตือนว่าอย่าหลงเชื่อกับ “ความสุขระยะสั้น” ที่มาพร้อมกับต้นทุนมหาศาล ประชาชนต้องได้คำตอบชัดเจนว่า เงินนี้แจกเพื่อใคร เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนจริง ๆ หรือเพื่อคะแนนนิยมและความอยู่รอดทางการเมืองของรัฐบาลและพวกพ้อง
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊ก“ปั่นไปไหน - สมชัย ศรีสุทธิยากร” หัวข้อ “รู้ทันเงินหมื่น” ระบุว่าเงินงบประมาณเตรียมไว้ในปี 2568 ถึง 187,000 ล้านบาท แทนที่จะใช้ทั้งก้อน กลับกล้าใช้เพียง 40,000ล้านบาท แก่ผู้อายุเกิน 60 ปี 4ล้านคน เหตุผลที่อธิบายได้คือ1.ยังเก็บเงินส่วนที่เหลือไว้โฆษณาอีกหลายรอบ เลี้ยงคะแนนนิยมไว้ อีกเดี๋ยวแจกครับ อีกเดี๋ยวมีเฟสสาม โดยรองวดต่อไป ดิจิทัล แน่ กำลังพัฒนาซอฟท์แวร์2.พยายามตีขลุมว่า 60 ปีขึ้นไป คล้ายกลุ่มเปราะบาง เพราะเกษียณแล้ว ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ มีปัญหาสุขภาพที่ต้องดูแล จึงมีเหตุผลที่แจกได้แบบเดียวกับกลุ่มเปราะบาง ไม่เสี่ยงถูกกล่าวหาว่า เป็นการใช้งบประมาณเพื่อหาเสียง 3.ที่แจกก่อนตรุษจีน ให้ดูเหมือนเป็นอั่งเปาให้จับจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ จะแจกปีใหม่อาจเร็วไป ต้องเคลียร์เฟสแรกให้เสร็จก่อนปีใหม่4.ช่วงตรุษจีน คือ 29-31มกราคม2567 การเลือกสมาชิก อบจ.ทั้งประเทศ คือ เสาร์ที่ 1กุมภาพันธ์2567 โดยพรรคเพื่อไทยคงส่งผู้สมัครทั้งประเทศแน่นอน5.มันใกล้กันขนาดนั้น ต้องระวังว่าจะมีผู้ร้องถอดถอนรัฐบาลทั้งชุด เนื่องจากทำผิด พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9วรรคสาม “ครม.ต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ” แน่นอนครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี