ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
‘แม้ว-พท.’รอด!
ศาลรธน.ยกคำร้องทุกเรื่อง
‘อิ๊งค์’ดีใจ/รบ.ลุยทำงานต่อ
‘ชูศักดิ์’ขู่ฟ้องเอาผิดนักร้อง
‘แก้วสรร’แนะร้องกกต.-ปปช.
“ทักษิณ-เพื่อไทย” เฮ! ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก ไม่รับคำร้องทุกประเด็น ปมล้มล้างการปกครอง-ครอบงำ ยังไม่มีน้ำหนัก-หลักฐานเพียงพอ ชี้การกระทำที่เกิดยังไกลเกินเหตุ “แก้วสรร” ชี้ช่องแนะ “ทนายธีรยุทธ”ไปร้อง“กกต.-ป.ป.ช.”นายก‘อิ๊งค์’ชี้ข่าวดี-รัฐบาลลุยทำงานต่อไป ชี้ต่างชาติเชื่อมั่น-กล้าเข้ามาลงทุน ‘ชูศักดิ์’แย้มฝ่ายกฎหมายเพื่อไทย ถกเตรียมเช็กบิลนักร้องหลังศาลไม่รับคำร้อง ‘อนุสรณ์’ชี้ความเชื่อมั่นรบ.พุ่งหลังศาลรธน.ไม่รับคำร้อง “ธีรยุทธ”ย้ำรบ.เพื่อไทย พร้อมนำประเทศเดินหน้า ‘เด็จพี่’อัด‘เหล่านักร้อง’ต้องโดนลงโทษฟ้องเอาผิดเป็นคดีตัวอย่าง ชี้ทำอะไรให้นึกถึงประเทศชาติบ้าง
เมื่อวันที่ 22พฤศจิกายน2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ นำเอกสารทั้งคำร้องและพยานหลักฐาน 5,080แผ่น ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยสั่งการให้ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่1และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่2เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองรอบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา49 โดยยก 6 พฤติการณ์ ที่เห็นว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน ดังนี้
ฟ้อง6ประเด็นล้มล้างการปกครอง
1.นายทักษิณใช้พรรคเพื่อไทย เป็นเครื่องมือในการสั่งรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ไม่ต้องรับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว โดยไปพักอยู่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ 2.นายทักษิณมีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฯ ฮุน เซน อดีตนายกฯ ของประเทศกัมพูชา และควบคุมการบริหารของรัฐบาลผ่านพรรคเพื่อไทย โดยการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเล ในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทยกัมพูชาในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กับทางกัมพูชา ทั้งที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นอธิปไตยของประเทศไทย 3.นายทักษิณสั่งให้พรรคเพื่อไทยร่วมมือกับพรรคประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4.นายทักษิณมีพฤติกรรมเป็นเจ้าของ ครอบครอง ครอบงำ เป็นผู้สั่งการแทนพรรคเพื่อไทยในการเจรจากับพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล เพื่อเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกฯ คนใหม่ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านพักจันทร์ส่องหล้า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง
5.นายทักษิณมีพฤติกรรมเป็นเจ้าของ ครอบงำ และสั่งการให้พรรคเพื่อไทย มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยยินยอมตามที่สั่ง 6.นายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นผู้ครอบงำและสั่งการให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนำนโยบายที่นายทักษิณได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม2567 ไปเป็นนโยบายของครม.ที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาวันที่ 12กันยายน2567
ศาลยกคำร้อง-คาดการณ์ไกลกว่าเหตุ
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการ สูงสุดแล้วและอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้อนคำร้อง โดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ตาม แต่การพิจารณาว่าบุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ
ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้าง การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งดังนั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา49วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่1และประเด็นที่3ถึงประเด็นที่6 สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
น้ำหนักพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 7 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดมรัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำ ของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายจิรนิติ หะวานนท์ และ นายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผล เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา49วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
‘แก้วสรร’ แนะไปร้อง’กกต.-ปปช.’
หลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย (ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นายแก้วสรร อติโพธิ แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ผ่านบทความเรื่อง”ประเมินคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ” โดยช่วงหนึ่งระบุว่า ไม่ใช่คดีใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ แต่เป็นคดีไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งมีการจัดการตามกฎหมายต่างๆอยู่แล้ว อย่างคดีก้าวไกลนั้นคุณจะเห็นชัดว่า เป็นเรื่องใช้สิทธิรวมตัวเป็นพรรค เสนอเลิก112 ให้รัฐไม่ต้องคุ้มครองกษัตริย์เช่นสถาบันส่วนรวมอีกต่อไป รู้เห็นสอดรับการใช้สิทธิชุมนุมทางการเมือง เคลื่อนไหวโจมตีให้เห็นสถาบันเป็นเป้าหมายแห่งความเกลียดชังอย่างเข้มข้น พฤติการณ์ความเคลื่อนไหวอ้างสิทธิในรัฐธรรมนูญแล้วทำลายตัวรัฐธรรมนูญเสียเองอย่างนี้ นี่แหละที่ศาลรัฐธรรมนูญจัดการโดยคำร้องโดยตรงของประชาชนได้ ที่ว่ามามันก็ชัด คดีนี้คุณธีรยุทธไม่ได้ร้องว่ามีใครเคลื่อนไหวทำลายรัฐธรรมนูญที่ตรงไหน นายแก้วสรร ชี้ว่า “ถูกต้อง..มันเป็นเรื่องความชั่วในประเทศนี้ สมคบกันฉ้อฉลไม่ยอมทำตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ส่วนศาลยกคำร้องแล้ว คุณธีรยุทธ จะปรับยุทธวิธีหันไปร้อง กกต.และปปช.เพื่อเอาหลักฐานที่มีไปเสริมสำนวนให้เขาได้ไหมครับ นายแก้วสรร เสนอแนะว่า “ควรต้องทำ ผมฟังว่าเขาทำงานหนัก จนมีหลักฐานดีๆในคำร้องมากทีเดียว”
นายกฯชี้ข่าวดี-รบ.ลุยทำงานต่อไป
ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องที่ นายธีรยุทธ์ สุวรรณเกษร ร้องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและพรรคเพื่อไทย (พท.) กระทำการอันเป็นการล้มล้างการปกครอง โดย น.ส.แพทองธาร หันไปถามข้อมูลกับทีมงาน ซึ่งทีมงานได้ยื่นคำวินิจฉัยให้นายกฯอ่าน โดยนายกฯใช้เวลาอ่านข้อมูล2-3นาที ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า “ดีคะ เพราะก่อนหน้านี้มันไม่ได้เป็นข่าวดีตลอดเวลา ข่าวที่ได้รับวันนี้ถือว่าเป็นข่าวดี รู้สึกดีใจ”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้จะเดินหน้าทำงานตามนโยบายต่อไปใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร ก็ต้องทำงานต่อไปข้างหน้าอยู่แล้ว เพราะเราต้องแบ่งเรื่อง เรื่องของประเทศชาติต้องรับผิดชอบ เรื่องของนายทักษิณก็ต้องให้กำลังใจ เมื่อถามว่า คำสั่งศาลออกมาเช่นนี้ จะลดแรงกระเพื่อมทางการเมืองหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า การเมืองต้องเดินหน้าต่อไป รัฐบาลก็ต้องทำงานต่อไป และกรณีของ นายทักษิณ สิ่งที่ท่านทำก็ไม่ใช่สิ่งถูกฟ้องร้อง ทำให้คิดว่า ทุกคนที่ให้กำลังใจ นายทักษิณ อยู่ จะรู้สึกโอเคขึ้น รู้สึกนิ่งขึ้น
ชี้ต่างชาติเชื่อมั่น-กล้าเข้ามาลงทุน
เมื่อถามต่อว่า เรื่องนี้จะสะท้อนเสถียรภาพของรัฐบาล เพื่อให้ต่างชาติมั่นใจมากขึ้นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า สิ่งนี้คือสิ่งจำเป็น แต่เข้าใจเรื่องประเด็นการเมือง คนจะมาวิพากษ์วิจารณ์สามารถทำได้ทุกอย่าง เราเป็นบุคคลสาธารณะอยู่แล้ว แต่เราต้องพยายามทำให้รัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาทำงานให้จบ 4ปี เพื่อนโยบายจะได้เสร็จสมบูรณ์ และต่างชาติจะได้ไม่ต้องไปคิดว่าการที่รัฐบาลไทยจะอยู่ครบ4ปี เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อยากให้คิดว่าเมื่อเลือกตั้งแล้ว เลือกคนนี้มา พรรคนี้ตั้งรัฐบาลเสร็จแล้ว มีอายุทำงาน4ปี ในระบบควรเป็นอย่างนั้น ให้ทั่วโลกเข้าใจตรงกันแบบนี้ เพราะการเข้ามาลงทุนเขาต้องคิดแล้วว่า 2ปี ข้างหน้าชัวร์และอีก 2ปี เป็น 4ปี ข้างหน้าชัวร์ แล้วเขาจะได้คิดว่าจะลงทุนอะไร เหมือนเราจะลงทุนที่ไหน จะเช่าร้านปีต่อปี เราจะต่อสัญญาหรือไม่ เราต้องรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ดังนั้นความมั่นคงของรัฐบาลเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก
ผ่านทั้งนรก-สวรรค์พูดมาหลายครั้ง
เมื่อถามว่า นายกฯ มีภูมิคุ้มกันทางการเมืองมากกว่านายกฯ คนอื่นๆ ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ภูมิคุ้มกันนั้นทุกคนก็คงมี แต่ภูมิคุ้มกันแบบนี้ต้องใช้พลังใจเยอะหน่อย คือเราพยายามมีสติ ยึดหลักธรรมะ เวลาดีใจต้องดีใจอย่างมีสติ เวลาเสียใจก็เสียใจอย่างมีสติ ที่เห็นตอนนี้ก็พยายามมีสติ ตนกำลังย่อยข้อมูลว่าเป็นอย่างไรเมื่อถามถึงกรณีนายทักษิณ ไปพูดที่งาน Forbes ระบุว่าเคยอยู่มาทั้งสวรรค์และนรกแล้ว นายกฯ กล่าวว่า คำนี้พูดประจำ นายทักษิณบอกว่าอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ชีวิตนี้เห็นมาหมดแล้วทั้งนรกทั้งสวรรค์ โดยนายทักษิณมักพูดว่าทุกวันนี้เขามีความสุข เพราะได้กลับบ้าน ได้เจอลูก เจอหลาน ถ้าไม่สบายพวกเราก็ดูแลได้ เพราะตอนที่อยู่เมืองนอกยังไม่รู้ว่าจะได้กลับเมื่อไหร่ ท่านก็พยายามที่จะไม่ป่วย พยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพราะเวลาไม่สบายอย่างตอนที่เป็นโควิด มีอาการหนักมาก
‘ทักษิณ’ไม่ตื่นเต้นนรก-สวรรค์เห็นหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมการสนทนาแบบ one-on-one ในกิจกรรมของ Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ที่โรงแรม The Ritz Carlton, One Bangkok ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯเมื่อค่ำวันที่ 21 พ.ย. โดยนายทักษิณได้พูดคุยตอบคำถามนายสตีฟฟอร์บส์ ประธานและบรรณาธิการบริหารของ Forbes Media โดย นายทักษิณ กล่าวว่า ชีวิตของตนเริ่มธุรกิจมาจากศูนย์และผ่านความยากลำบากมามากมายก่อนจะประสบความสำเร็จในโลกของธุรกิจ และตนเห็นนรกก่อนเห็นสวรรค์ในธุรกิจ และหลังจากนั้นก็โดดลงมาเล่นการเมือง เพราะทุกครั้งที่ไปต่างจังหวัดก็ยังเห็นคนที่ยากจนเป็นเหมือนเดิม ฉะนั้นจึงคิดว่านอกจากช่วยตัวเอง ช่วยครอบครัวแล้วทำไมไม่ช่วยคนที่ไม่มี ดังนั้นตนจึงตัดสินใจที่จะลงเล่นการเมืองช่วงประสบความสำเร็จมากเห็นสวรรค์ในการเมือง และเห็นนรกตามมาทีหลัง นรกสวรรค์คือชีวิตตนเลย มีขึ้นและมีลง ตอนนี้คิดว่าน่าจะอยู่บนพื้นดินแล้ว ไม่เอาสวรรค์ ไม่เอานรกแล้ว
ช่วงหนึ่งผู้ดำเนินรายการได้ถามว่าอยู่การเมืองคุณกลายเป็นเป้าและวันที่ 22 พ.ย.ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายอิสระที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ยุติการทำที่เข้าข่ายล้มล้าฃการปกครอง การตัดสินคดีมีความท้าทายมากมายคุณรับมือกับสิ่งนี้อย่างไร กับการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นตลอดเวลาทำยังไงไม่ให้จิตใจลงไปสู่นรกที่พูดถึงนายทักษิณ กล่าวว่า ตนคิดว่าตนผ่านอันนี้บ่อยๆ ผ่านมาหลายสิ่งอย่างที่บอกไปว่าเห็นทั้งนรกและสวรรค์มาแล้ว ก็ไม่มีอะไรทำให้ตื่นเต้นแล้ว เขาบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินในวันพรุ่งนี้ ตนก็รู้สึกว่าโอเค ว่าไม่เป็นอะไร ก็แค่รอฟังคำตัดสิน และก้าวต่อไปข้างหน้า และมองไปข้างหน้า ตนเข้าใจประวัติที่ผ่านมาแล้วและอดีตที่ผ่านมา แต่ว่าเราไม่ย้อนกลับไปอดีต เราไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ว่าไม่ใช่ Moving Forward(ก้าวไปข้างหน้า)
‘ชูศักดิ์’แย้มฝ่ายกฎหมายเตรียมเช็กบิล
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายอิสระ ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย(พท.) ยุติการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองจะผูกพันไปยังกรณีที่มีการยื่นคำร้องเดียวกันนี้ไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะพิจารณาหรือไม่ว่า ผูกพันหรือไม่ขึ้นอยู่กับประเด็น ซึ่ง ประเด็นที่ศาลวินิจฉัยวันนี้ไม่รับ ด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ตามรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 หากจะถามว่าผูกพันถึง กกต.หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประเด็นเหล่านั้น เป็นประเด็นที่ตรงกัน และกำลังพิจารณาอยู่หรือไม่
เมื่อถามว่าผลที่ออกมาจะเป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยในชั้นกกต.หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเราได้รับความยุติธรรม เพราะตนเคยบอกแล้วว่า อ่านดูแล้วไม่รู้กี่รอบเห็นว่า ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะล้มล้างการปกครองอะไรเลย ดังนั้นความรู้สึกในวันนี้ก็คือ เราได้รับความเป็นธรรม หากไปดูตามลายลักษณ์อักษรทั้งหมดมันก็ไม่เข้าจริงๆ เมื่อถามว่า จะมีการฟ้องร้องบรรดานักร้องต่างๆ ที่ออกมาร้องเรื่องนี้หรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า วันนี้คณะกรรมการฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กำลังประชุมอยู่ ส่วนแนวโน้มว่า จะฟ้องหรือไม่ ไม่ทราบ ไปคาดเดากันเอง
ความเชื่อมั่นรบ.พุ่งหลังยกคำร้อง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษตร ว่า ประชาชนที่ติดตามเรื่องนี้คงสบายใจขึ้น ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องทั้ง 6 ประเด็น ไม่ว่าผลของคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยก็พร้อมเดินหน้าทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างเต็มที่ต่อไป ส่วนที่มองกันว่า จะเป็นภาพสะท้อนยืนยันในเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่นั้น แน่นอนต้องยอมรับว่า รัฐบาลได้รับโมเมนตั้มบวกในด้านขวัญและกำลังใจ ภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ดีอยู่แล้ว จะดีมากยิ่งขึ้นไปอีก เวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งดีใจหรือเบาใจ รัฐบาลมีเวลาทำงาน 4ปี เชื่อว่าเมื่อรัฐบาลทำงานจนครบวาระ นโยบายเรือธงสำคัญๆผลิดอกออกผล เชื่อว่าถึงวันนั้นคะแนนนิยมรัฐบาลจะพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน
‘พร้อมพงศ์’ชี้นักร้องถ่วงความเจริญ
ด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีศาลยกคำร้องอดีตนายกฯ ทักษิณ และพรรค พท.ไม่ได้ล้มล้างการปกครองฯว่า ตั้งคำถามถึงการไปร้องของ นายธีรยุทธว่า ทำเพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้าที่จะมีการร้องเรื่องดังกล่าว นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ออกมาพูดทำนองว่าเร็วๆ นี้จะเกิดนิติสงคราม หลังจากนั้น นายธีรยุทธก็โผล่ออกมา ตนมองว่าการไปร้องแต่ไม่มีมูลความจริงทั้งที่รู้ว่าไม่เข้าข่ายล้มล้าง แล้วทำให้เกิดความปั่นป่วน วุ่นวาย ในบ้านในเมืองแบบนี้ นายธีรยุทธจะรับผิดชอบยังไง รู้ทั้งรู้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล มีงานมากมายที่ต้องทำ แต่กลับต้องเอาเวลาอันมีค่ามาคอยตอบ คอยแก้เรื่องอะไรต่างๆ นานา ที่นายธีรยุทธ หรือเหล่านักร้องทั้งหลายทำๆกัน แบบนี้จะเรียกว่าเป็นพวกถ่วงความเจริญได้หรือไม่
เตรียมฟ้องเอาผิดเป็นคดีตัวอย่าง
“ตนเห็นว่าเรื่องนี้สมควรดำเนินคดีให้เป็นเยี่ยงอย่าง และคิดว่าผู้ถูกร้องไม่ว่าจะเป็นท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ หรือพรรคเพื่อไทย คงจะไม่ปล่อยไว้ คงต้องทำอะไรกับบุคคลเหล่านี้บางแล้ว ต้องให้เป็นคดีเพื่อเป็นตัวอย่างให้เหล่าบรรดานักร้องได้พึงสำนึกในสิ่งที่ทำหรือคิดจะทำกันบ้าง การร้องเรียนในมุมของตนสามารถทำได้ แต่ต้องเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล เกิดประโยชน์สาธารณะที่แท้จริง คิดจะเป็นนักร้อง ถ้าร้องผิดคีรย์ก็ต้องโดนลงโทษ อยากฝากเตือนบรรดาพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่คิดจะเอาประเด็นทางการเมืองมาเขย่ารัฐบาล อยากให้คิดก่อนทำ จะทำอะไรก็อยากคิดถึงประโยชน์ของบ้านเมืองกันบ้าง รัฐบาลต้องทำงานหนักเพื่อแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนและประเทศชาติ อย่าให้ต้องเอาเวลาของพี่น้องประชาชนมาคอยแก้คอยตอบเรื่องที่ท่านจะร้องเรื่องไม่เป็นเรื่องกันเลย’นายพร้อมพงษ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี