ไม่กลัว‘สนธิ’ปลุกม็อบลงถนน
‘ภูมิธรรม’ปากกล้า
อ้างเป็นสิทธิ์ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ
‘อนุทิน’ไม่ขัดแต่ให้ยึดก.ม.
‘ชูศักดิ์’แจงฝ่ายกฎหมายพท.
เล็งฟ้องกลับล้มล้างปกครอง
“ภูมิธรรม”เมิน“สนธิ”โจทก์เก่าไทยรักไทย-เพื่อไทย ประกาศระดมพล“ลงถนน”ขับไล่“รัฐบาลแพทองธาร”บอกเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ เตือนทำอะไรนึกถึงอดีต ทำประเทศเสียหายรุนแรง เชื่อประชาชนต้องการแก้ปัญหามากกว่าร่วมเคลื่อนไหวการเมือง ด้าน“อนุทิน”ไม่หวั่น“สนธิ”ปลุกม็อบลงถนนปีหน้า บอกทุกคนมีสิทธิ์ แต่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย ยันเพื่อไทย-ภูมิใจไทย ไม่ได้สู้กัน รัฐบาลพรรคร่วมยังอยู่กันดี สำหรับประชามติ
ยังไม่คุยปมกฏหมายการเงิน รอเป็นเจ้าภาพดินเนอร์
เมื่อวันที่ 25พฤศจิกายน2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการและเจ้าของรายการสนธิ ทอล์ก ประกาศลงถนนชุมนุมขับไล่รัฐบาลแพทองธาร และเรียบเรียงคำร้องกรณี MOU 44 ว่า ไม่เป็นไร ตนคิดว่านายสนธิ ได้ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตามขอให้คำนึงถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอยู่ด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งรัฐบาลก็พร้อมที่จะถูกตรวจสอบอยู่แล้ว และรัฐบาลก็ทำงานตามหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ หากมีอะไรจริงๆ ก็มีกระบวนการ อยู่แล้ว โดยให้กระบวนการเป็นผู้ตัดสินใจซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากรัฐบาลมีความผิดพลาด สามารถใช้กระบวนการทางยุติธรรม มาดำเนินการได้ อย่างไรก็ตามขอให้คำนึงถึงผลกระทบ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะวันนี้ประชาชนก็เดือดร้อนมาก ซึ่งการปิดเมืองหรือมีการชุมนุม ที่ผ่านมาในรอบ 10 ปี ไม่ว่าใครถูกหรือผิด ไม่ต้องไปพูดถึง แต่ที่เสียหายรุนแรงคือประเทศชาติ ซึ่งอยากให้คำนึงถึงสิ่งนี้มากๆ
‘ภูมิธรรม’ชี้ปลุกม็อบสิทธ์ตามรธน.
เมื่อถามว่า จะมีการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวย้ำว่า ก็เป็นสิทธิ์ของ นายสนธิ ในขณะที่รัฐบาลเองก็ทำตามหน้าที่ ส่วนจะมีการฝากอะไรถึงประชาชน วิธีการของนายสนธิจะมีการจัดกิจกรรมเป็นรายสัปดาห์ในการปลุกระดม ที่คาดว่าจะมีประชาชนมาเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ให้ใช้สิทธิ์ไป ซึ่งประชาชนเองก็รู้ ว่าชีวิตเป็นอย่างไร ตนมองว่าประชาชนคงอยากจะพึ่ง การแก้ไขปัญหามากกว่าการขับเคลื่อนทางการเมือง นายภูมิธรรม กล่าวยืนยันว่า ไม่กังวลที่นายสนธิ ที่ถือว่าเป็นโจทก์เก่าของพรรคไทยรักไทย ก่อนเกิดการรัฐประหารในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตรและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐบาลนี้ตั้งใจทำสิ่งที่ดี และคิดว่าผลงานรัฐบาลจะเป็นตัวกำหนด
‘อนุทิน’ไม่หวั่น-ทุกอย่างยึดตามข้อกม.
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกรณีที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการและเจ้าของรายการสนธิทอล์ค ออกมาบอกการเมืองใกล้สุกงอม พร้อมลงถนนและเตรียมจัดชุมนุมทุกเดือนตั้งแต่ปีหน้า ว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมายก็ทำไป เราจะเห็นเหมือนกันหมดไม่ได้ ต้องมีความเห็นต่าง ต้องได้สิทธิ์ คนที่วิพากษ์วิจารณ์ก็มีสิทธิ์ถูกต้อง เราต้องใจกว้างพอที่จะปรับปรุงแก้ไขในการกระทำหรือแนวคิด เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ด้วยดี
ไม่มีการสู้กันระหว่างพรรคร่วมรบ.
ส่วนกรณี นายสนธิ พูดว่า ขณะนี้เป็นการสู้กันระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ในการหยิบยกปมพื้นที่เขากระโดงกับที่ดินอัลไพน์นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ผิดตั้งแต่คำว่าสู้กันแล้ว ตอนนี้ยังทำงานในคณะรัฐบาลด้วยความสามัคคีและความร่วมมือ ตนได้รับข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีตลอดเวลา และรัฐมนตรีพรรคร่วมทุกพรรคก็ให้ความร่วมมือทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องสู้กัน สำหรับกรณีเรื่อง การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประชามติ นายอนุทินกล่าวว่า ยังไม่ได้หารือกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในประเด็นว่าเป็นกฎหมายการเงินหรือไม่ เพื่อลดเวลาการยับยั้งจาก 180 วันเหลือเพียง10วันและไม่กังวลหากการทำประชามติจะล่าช้าถึงปี2569และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยพูดกัน โดยในงวดหน้าพรรคภูมิใจไทยต้องเป็นเจ้าภาพดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาล
‘ชูศักดิ์’แย้มเล็งฟ้องกลับปมล้มล้างปค.
ขณะที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) เตรียมฟ้องกลับ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย เข้าข่ายล้มล้างการปกครองว่า ขณะนี้คณะทำงานกำลังดำเนินการอยู่ เข้าใจว่าน่าจะใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งตนก็คงต้องดูร่างคำฟ้อง ก่อนเพื่อความรอบคอบ ส่วนร่างคำฟ้องดังกล่าวจะเสร็จเมื่อใดนั้นตนไม่สามารถตอบได้
เมื่อถามว่า หากต่อไปบุคคลใดต้องการฟ้องรัฐบาล จะมีกฎเกณฑ์ เพื่อไม่ให้ถูกฟ้องกลับหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เท่าที่ตนดูเหมือนว่าไปสรุปเอาเองว่า เขาผิดอย่างนั้นอย่างนี้โดยขาดพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ หากไปสรุปเองเหมาว่าผิด ตนว่าไม่ใช่เป็นคนรับประเด็น และคนละข้อเท็จจริง ซึ่งการกล่าวหาแบบนี้ในทางกฎหมายนั้นไม่ถูก
กมธ.พบ’วันนอร์’เดินหน้าแก้รธน.
นายพริษฐ์วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่าในวันที่ 27พ.ย. เวลา 10.00น.กมธ.พัฒนาการเมืองฯจะเข้าพบ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ฐานะประธานรัฐสภา เพื่อหารือเรื่องการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เพิ่มหมวดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลในอดีตได้ยื่นร่างแก้ไขเมื่อต้นปี2567 ซึ่งขณะนั้นประธานรัฐสภาตัดสินใจไม่บรรจุเข้าสู่วาระ เพราะตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่4/2564 ว่า ต้องทำประชามติก่อนถึงบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ ขณะที่ตนและพรรคเพื่อไทยมองว่าสามารถบรรจุร่างแก้ไขได้โดยไม่ต้องทำประชามติก่อน อีกทั้งในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวย่อหน้าสุดท้ายไม่ได้ระบุถึงจำนวนประชามติ
หวังนำเข้าสภาฯสมัยประชุมธ.ค.นี้
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่าในการหารือกับประธานรัฐสภา จะนำประเด็นและรายละเอียดที่ได้หารือกับนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าพูดคุยด้วย ซึ่งตนหวังว่าประธานรัฐสภาจะทบทวนการตัดสินใจและสามารถเดินหน้ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชนได้ ในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาฯเดือนธ.ค.นี้
“หากประธานรัฐสภาทบทวนและบรรจุเรื่องเข้าสู่วาระพิจารณา ตามไทม์ไลน์แล้วสามารถเดินหน้าได้ในเดือนธ.ค.นี้ เบื้องต้นในการพิจารณาของรัฐสภาในการแก้ไขมาตรา256 กำหนดให้มี สสร.อาจใช้เวลา 3-6 เดือน เมื่อทำเสร็จแล้วจะเข้าสู่กระบวนการทำประชามติรอบแรก และหากประชามติผ่าน จะเข้าสู่กระบวนการมี สสร.เพื่อทำรัฐธรรมนูญที่อาจใช้เวลา 6 -12เดือน ดังนั้นตามกลไกทำประชามติ 2 ครั้ง มีโอกาสได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใช้ก่อนการเลือกตั้งปี2570” นายพริษฐ์ กล่าว
ยันพรบ.ประชามติไม่ใช่กม.การเงิน
เมื่อถามว่าประเด็นความเห็นต่างของร่างพ.ร.บ.ประชามติจะเป็นอุปสรรคหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า เป็นคนละเรื่อง เพราะหากความเห็นต่างระหว่าง สองสภา ในร่างพรบ.ประชามติ จนต้องพักร่างกฎหมายไว้ ไม่เป็นปัญหากับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะในระหว่างนั้นสามารถเดินหน้าได้ และไม่เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความล่าช้าหรือกระทบไทม์ไลน์ที่ระบุไว้ ส่วนกรณีที่มีประเด็นตีความว่า ร่างพ.ร.บ.ประชามติเป็นร่างกฎหมายการเงินเพื่อย่อเวลาพักร่างกฎหมายที่เห็นแย้งระหว่างสองสภานั้น ตนมองว่า ร่างพ.ร.บ.ประชามติไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับการเงิน
เมื่อถามว่าในไทม์ไลน์แก้รัฐธรรมนูญกังวลต่อเสียงสนับสนุนของสว.หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องได้เสียงสว.1ใน 3หรือ 67เสียง ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมายอมรับว่า ยุคสว.250 คนนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ยุคนี้มีการวิเคราะห์จุดยืนของสว.ผ่านการแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติ แต่เมื่อร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา เชื่อว่าจะเป็นประเด็นที่แสดงให้เห็นว่า สว.มีจุดยืนอย่างไร
‘นิกร’ยันอีกคนไม่ใช่กม.การเงิน
นายนิกร จำนง ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่ากฎหมายประชามติเป็นกฎหมายการเงิน เพื่อลดเวลาพักร่างกฎหมาย 180 วัน ว่า ตนเชื่อว่าร่างกฎหมายประชามติไม่เป็นกฎหมายการเงิน เพราะการสงสัยว่าเป็นกฎหมายการเงินหรือไม่ ร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.) ทั้ง 4ฉบับ ที่เสนอเข้ามาตนตรวจสอบดูแล้ว ประธานสภาฯลงนามชี้ไปแล้วว่า ไม่เป็นกฎหมายการเงิน ซึ่งหลักการในการพิจารณา ตามข้อบังคับการประชุมสภาฯหากสมมติว่ามีใครสงสัยหรือประธานมองเห็นเองว่าเป็นกฎหมายการเงิน ก็จะชี้ว่าเป็นกฎหมายการเงิน และเมื่อประธานชี้ว่าเป็นกฎหมายการเงิน ผู้ที่ยื่นอาจจะมีข้อสงสัยว่าไม่เป็นกฎหมายการเงิน เมื่อไม่เป็น ตามกลไลของสภาฯ หากตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องเชิญประธานกรรมาธิการทุกคณะมาตัดสิน ร่วมกับประธานสภาฯ แต่ขั้นตอนตรงนั้นมันเลยมาแล้ว และในระหว่างที่เราพิจารณาอาจจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง จากไม่เป็นพ.ร.บ.การเงิน ก็กลายเป็นพ.ร.บ.การเงินขึ้นมา ก่อนจะโหวตวาระ 3 มีข้อสงสัยก็สามารถทำได้อีกครั้งหนึ่ง แต่สภาฯโหวตวาระ3ไปแล้ว ซึ่งไม่มีข้อสงสัย จึงถือว่าเลยจุดนั้นมาแล้ว และเป็นร่างกฎหมายที่พิจารณาเห็นชอบกันหมดแล้ว โดยไม่มีใครชี้ว่าเป็นพรบ.การเงิน
“จริงๆ แล้วมันไม่เป็นพ.ร.บ.การเงิน และตอนที่เราทำกฎหมายนี้ เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องใช้เงิน จำนวน3พันกว่าล้านบาท ซึ่งถือว่ารู้อยู่ก่อนแล้ว แล้วมาแก้ว่าจะเอาสัดส่วนเกณฑ์ออกเสียงประชามติ 2 ชั้นหรือ1ชั้น เท่านั้นเอง และถ้าเป็นพรบ.การเงิน ก็เป็นตั้งแต่ปี 64 แล้ว ไม่ใช่มาเป็นพรบ.การเงินตอนนี้ เพราะเราแก้เพียงบางมาตรา และเมื่อเสร็จสิ้นชั้นสภาฯไปแล้ว” นายนิกร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี