เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โฟนอินให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นความเคลื่อนไหวของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวเครือ ASTV ผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มเสื้อเหลือง ที่มีกระแสข่าวว่าอาจกลับมานำมวลชนลงถนนอีกครั้ง ว่า ต้องดูองค์กรประกอบ 3 เรื่อง ซึ่งหากทั้ง 3 เรื่องนี้สอดคล้องกัน ก็มีแนวโน้มที่นายสนธิจะลงถนน
คือ 1.นายสนธิต้องเห็นว่ารัฐบาลกำลังพาประเทศไปสู่ความล่มจม เตือนแล้วแต่รัฐบาลไม่ฟัง 2.นายสนธิต้องดูว่าศรัทธาของประชาชนที่มีต่อนายสนธิยังมีอยู่เช่นเดิมหรือไม่ ซึ่งตนก็วิเคราะห์จากการจัดรายการของนายสนธิ ที่ก็มีประชาชนติดตามเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยังเป็นการเพิ่มขึ้นเพียงในช่องทางออนไลน์ ส่วนอุดมการณ์ของประชาชนที่ติดตามรายการจะสอดคล้องกับนายสนธิหรือไม่ ก็ดูได้ว่าสอดคล้องกัน
และ 3.กลุ่มคนที่สนับสนุนนายสนธิและพร้อมจะลงถนนไปกับนายสนธิมีมาก-น้อยเพียงใด ข้อนี้ตนดูจากการจัดรายการของนายสนธิที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีการเปลี่ยนสถานที่มาใช้หอประชุมใหญ่ ก็บอกได้ว่ามีพร้อมประมาณ 1หมื่นคนแน่นอนที่เป็นแฟนคลับของนายสนธิและพร้อมลงถนน ส่วนเมื่อลงถนนแล้วปฏิกิริยาของประชาชนจะเป็นอย่างไร ตนคิดว่าคงจะมีคนออกมาสมทบมากขึ้น ทั้งจากพรรคการเมืองกลุ่มอนุรักษ์และกลุ่มพลังต่างๆ จากความไม่พอใจต่อรัฐบาล
แต่การลงถนนของนายสนธิจะได้รับการสนับสนุนมาก-น้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของรัฐบาลด้วย หากรัฐบาลพฤติกรรมดีม็อบนายสนธิก็จุดไม่ติด ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ แต่หากไม่ดีก็จะเป็นอย่างที่เห็น ซึ่งหลายคนอาจบอกว่ายุคนี้จะมีใครมาลงถนน ประชาชนก็ห่างเหินการลงถนนไปมาก แต่ตนมองอีกแบบหนึ่งว่าประชาชนอาจชอบ ประกอบกับขณะนี้ประชาชนไม่มีทางออกในการแก้ไขปัญหาชองรัฐบาล การที่นายสนธิลงถนนจึงเป็นความหวังอย่างหนึ่ง
“มันมีเงื่อนไข ผมยกตัวอย่าง 2 เรื่อง 1.เรื่อง MOU44 รัฐบาลยังยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย แต่รัฐบาลไม่พูดถึงเรื่องอาณาเขตทางทะเลของเกาะกูด ไม่เคยพูดถึงเลยว่ามีอาณาเขตเท่าไร ซึ่งอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทยเป็นไปตามหลักกฎหมายสากล แต่ของกัมพูชาเป็นการแสดงหลักเขตที่เขียนขึ้นมาเอง ดังนั้นอันนี้ถ้าเผื่อพูดกันไปแล้วประเทศไทยเราก็เสียเปรียบ ต้องพูดกันก่อน แต่รัฐบาลก็ไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้ จะแบ่งคนละ 50% อย่างเดียว” พล.ท.นันทเดช กล่าว
พล.ท.นันทเดช กล่าวต่อไปว่า MOU44 อาจเป็นเงื่อนไขหลักที่นำไปสู่การชุมนุมประท้วงได้ เพราะประชาชนเห็นว่าเกาะของไทยมีอาณาเขตแน่นอนแต่กัมพูชากลับมาเขียนลากส้นต่างๆ ได้ ส่วนที่รัฐบาลบอกว่า MOU44 เลิกไม่ได้ จริงๆ แล้ว MOU เป็นแค่คำมั่น แล้วก็เห็นเลิกกันมาได้ทุกเรื่อง อย่างเรื่องการจัดหาเรือดำน้ำ ก็ต้องไปดูสาเหตุเบื้องหลังว่าเหตุใด MOU44 รัฐบาลบอกว่าเลิกไมได้
โดยหากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2544 หรือในปีที่มีการจัดทำ MOU ฉบับนี้ขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ได้ให้เงินกู้พิเศษแก่กัมพูชา ก่อสร้างถนนความยาว 150 กิโลเมตร และหลังจากนั้นอีก 6 วัน นายกฯ ทักษิณ และคณะก็เดินทางไปกัมพูชาเพื่อลงนาม MOU44 ในวันที่ 18 มิ.ย. 2544 และออกแถลงการณ์ร่วมของผู้นำ 2 ประเทศในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นการรับรอง MOU44 ดังนั้นหากไม่เลิก MOU44 โดยอ้างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวก็ถือว่ามั่ว
เพราะตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ที่รัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ใช้อยู่ขณะนั้น ระบุว่า การเจรจาใดๆ ของรัฐบาลเกี่ยวกับอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่การเจรจาในเวลานั้นรัฐบาลไม่ได้นำมาบอกกับรัฐสภา MOU44 จึงถือเป็นโมฆะไปโดยปริยาย กับเรื่องหนึ่งที่อาจนำไปสู่การลงถนนได้คือ 2.ความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรม คือเรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ กับอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้เปิดช่องให้แล้ว
ดังนั้นหากมีการดำเนินการอย่างจริงจังเกิดขึ้น อย่างกรมราชทัณฑ์ที่อ้างว่ามีเจ้าหน้าที่ไปอยู่เวร ก็ต้องให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นมาให้ข้อมูล เช่นเดียวกับแพทย์หรือพยาบาลที่กรมราชทัณฑ์กล่าวอ้างก็สามารถสืบย้อนหลังไปได้ทั้งหมด หากทำกันจริงๆ นายทักษิณก็อาจต้องกลับไปติดคุก เริ่มกระบวนการกันใหม่ ซึ่ง 2 เรื่องนี้เป็นประเด็นหลัก แต่จริงๆ ยังมีอีกหลายประเด็น หากนายสนธินำม็อบลงถนนก็น่าจะขุดขึ้นมาได้ รวมถึงเรื่องใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ส่วนคำถามว่าสถานการณ์ ณ เวลานี้ สุกงอมพอให้เกิดการลงถนนแล้วหรือยัง ตนคาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ประมาณหลังจากเดือน ก.พ. 2568 เพราะตอนนี้เป็นช่วงที่ประชาชนกำลังใช้เวลาเตรียมตัวเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ซึ่งประชาชนจะสนใจการเมืองน้อยลง ในขณะที่รัฐบาลก็พยายามเคลื่อนไหวในช่วงนี้ให้มาก เช่น อาจแจกเงินเพื่อปิดปากประชาชน ดังนั้นนายสนธิน่าจะเริ่มเคลื่อนไหวช่วงปลายเดือน ม.ค. 2568
ส่วนกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) และอดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง ออกมาบอกว่าการเคลื่อนไหวของนายสนธิเป็นการรวมตัวของกลุ่มอนุรักษ์นิยมและไม่ให้ราคา ตนมองว่านายณัฐวุฒิก็ต้องพูดแบบนั้นเพราะอยู่ฝ่ายรัฐบาล แต่ในข้อเท็จจริงคือรัฐบาลปากบอกไม่กลัวแต่จะขาสั่นหากนายสนธิสามารถเคลื่อนไหวได้ตามจังหวะจริงๆ
“ผมว่าประชาชนเราห่างเหินการชุมนุมแบบนี้ไปนาน ผมคิดว่าความกระตือรือร้นของคนก็น่าจะมีมากพอสมควรในการออกมาร่วมกับคุณสนธิ ประกอบกับเงื่อนไขมันอำนวยหลายอย่าง ผมไม่เข้าใจรัฐบาล MOU44 ไม่ยอมถอยได้อย่างไร เป็นไปได้ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยกับเรื่องม็อบบนถนนมันเป็นปกติของทุกประเทศ ฝรั่งเศสเขายังมี 7-8 วัน แต่ม็อบประเทศไทยเรามันต่างกับประเทศอื่น ไม่ชุมนุมเช้าแล้วเย็นเลิก เราชุมนุมทั้งวันทั้งคืน” พล.ท.นันทเดช ระบุ
พล.ท.นันทเดช ยังกล่าวอีกว่า ส่วนคำถามว่าเมื่อมีม็อบแล้วจะกดดันรัฐบาลได้หรือไม่ หรือจะต้องไปลงท้ายด้วยรัฐประหารกันอีกครั้งหนึ่ง ตนมองว่าการจัดการกับม็อบจะใช้วิธีรุนแรงแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว เพราะยิ่งใช้ความรุนแรงก็จะมีประชาชนออกมาร่วมกับม็อบมากขึ้น เพราะเงื่อนไขที่นำมาเคลื่อนไหวเป็นเงื่อนไขของชาติ ทั้งเรื่อง MOU44 และเรื่องที่นายทักษิณไม่ต้องติดคุก เรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่รับไม่ได้
ส่วนที่กังวลว่าการจัดม็อบอาจนำไปสู่การชุมนุมด้วยความรุนแรง อย่างที่เคยเกิดกับกลุ่มเสื้อแดงซึ่งมีภาพของคนชุดดำเข้ามาใช้อาวุธก่อความรุนแรงด้วย ตนมองว่าม็อบเสื้อเหลืองจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น เว้นแต่นายทักษิณจะจัดม็อบมาชน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันจะทำแบบนั้นก็ไม่ง่าย ขณะที่เรื่องวันวนกรณีมีม็อบแล้วมีรัฐประหาร ก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เพราะรัฐบาลสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเอง โดยเฉพาะการทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชา แต่โดยสรุปคือม็อบจะเกิดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
ชมคลิปเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=R8FhxpRylJc
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี